เมนู

ฯลฯ นี้ชื่อว่าอธิปัญญาสิกขา. ภิกษุนึกถึงสิกขาทั้ง 3 นี้อยู่ ฯลฯ ทำให้
แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งอยู่ ก็พึงศึกษา พึงประพฤติเอื้อเฟื้อด้วยดี
สมาทานประพฤติ. คำว่า ภควา เป็นคำกล่าวด้วยความเคารพ ฯลฯ
เป็นสัจฉิกาบัญญัติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภิกษุพึงเป็นผู้ไม่ประมาท...
นมัสการอยู่ พึงหมั่นศึกษาในกาลทุกเมื่อ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดังนี้
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ภิกษุนั้นเป็นผู้ครอบงำ ไม่ถูกครอบงำ ได้เห็นแล้ว
ซึ่งสักขิธรรมโดยไม่ต้องเชื่อต่อผู้อื่น เพราะฉะนั้นแหละ
ภิกษุพึงเป็นผู้ไม่ประมาทในศาสนาของพระผู้มีพระภาค-
เจ้านั้น นมัสการอยู่ พึงหมั่นศึกษาในกาลทุกเมื่อ พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดังนี้แล.

จบตุวฏกสุตตนิทเทสที่ 14

อรรถกถาตุวฏกสุตตนิทเทสที่ 13


พึงทราบวินิจฉัยในตุวฏกสุตตนิทเทสที่ 14 ดังต่อไปนี้.
แม้บทว่า ปุจฺฉามิ ตํ นี้ ในมหาสมัยนั่นเอง พระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อจะทรงประกาศความนั้นแก่เทวดาทั้งหลายบางพวก ผู้มีจิตเกิดขึ้นว่า
การปฏิบัติเพื่อบรรลุพระอรหัตเป็นอย่างไรหนอ จึงทรงให้พระพุทธนิมิต
ตรัสถามพระองค์ แล้วตรัสโดยนัยก่อนนั่นแล.
ในบทเหล่านั้น พึงทราบความคาถาที่เป็นคำถามต้นก่อน ท่าน
จำแนกคำถามด้วย อทิฏฐโชตนาปุจฉา เป็นต้น ไว้ในบทนี้ว่า ปุจฺฉามิ

ข้าพระองค์ขอทูลถามดังนี้. บทว่า อาทิจฺจพนฺธุ คือผู้เป็นเผ่าพันธุ์
พระอาทิตย์. บทว่า วิเวกํ สนฺติปทญฺจ ได้แก่ ผู้สงัด และผู้ดำเนิน
สู่ความสงบ. บทว่า กถํ ทิสฺวา คือภิกษุเห็นอย่างไรแล้ว. ท่านอธิบายว่า
เป็นผู้เห็นความเป็นไปอย่างไร.
บทว่า ติสฺโส ปุจฺฉา คำถามมี 3 คำถาม เป็นการกำหนดจำนวน.
คำถามเพื่อทำสิ่งที่ยังไม่เห็น ยังไม่แทงตลอดให้ปรากฏ ชื่อว่า
อทิฏฐโชตนาปุจฉา.
คำถามเพื่อเทียบเคียงสิ่งที่เห็นแล้วด้วยญาณจักษุ ชื่อว่า ทิฏฐสัง-
สันทนาปุจฉา.

คำถามเพื่อตัดความสงสัย ชื่อว่า วิมติจเฉทนาปุจฉา.
บทว่า ปกติยา ลกฺขณํ อญาตํ คือ ลักษณะที่แท้ของธรรมทั้งหลาย
ที่ยังไม่รู้โดยปกติ. บทว่า อทิฏฺฐํ คือ ไม่เห็น.
บทว่า อตุลิตํ ไม่พิจารณา คือไม่พิจารณาดุจพิจารณาด้วยเครื่องชั่ง.
บทว่า อติริตํ ไม่เทียบเคียง คือไม่เทียบเคียงด้วยการไตร่ตรอง.
บทว่า อวิภูตํ ไม่กระจ่าง คือไม่ปรากฏ. บทว่า อวิภาวิตํ ไม่
แจ่มแจ้ง คือไม่เจริญด้วยปัญญา. บทว่า ตสฺส ญาณาย เพื่อรู้ธรรม
นั้น คือเพื่อประโยชน์แก่การรู้ลักษณะของธรรมนั้น. บทว่า ทสฺสนาย
คือ เพื่อประโยชน์แก่การเห็น.
บทว่า ตุลนาย เพื่อพิจารณา คือเพื่อประโยชน์แก่การพิจารณา.
บทว่า ติรณาย เทียบเคียง คือเพื่อประโยชน์แก่การเทียบเคียง. บทว่า
วิภาวนาย เพื่อกระจ่าง คือเพื่อทำความกระจ่าง. บทว่า อญฺเญหิ

ปณฺฑิเตหิ ด้วยบัณฑิตเหล่าอื่น คือด้วยผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้เหล่าอื่น.
บทว่า สํสยปกฺขนฺโน1 บุคคลผู้แล่นไปสู่ความสงสัย คือเข้าไปสู่ความ
สนเท่ห์.
บทว่า มนุสฺสปุจฺฉา คือ คำถามของมนุษย์ทั้งหลาย. บทว่า
อมนุสฺสปุจฺฉา คือ คำถามของอมนุษย์ มีนาคและครุฑเป็นต้น. บทว่า
คหฏฺฐา คือ คฤหัสถ์ที่เหลือ.
บทว่า ปพฺพชิตา บรรพชิตทั้งหลายกล่าวโดยเพศ. บทว่า นาคา
ได้แก่ นาค ชื่อว่าสุปัสสะเป็นต้น . บทว่า สุปณฺณา ครุฑ พึงทราบ
โดยที่รู้จักกันว่าเป็นครุฑ. บทว่า ยกฺขา พึงทราบโดยที่รู้จักกันว่าเป็น
ยักษ์. บทว่า อสุรา ได้แก่ อสูรทั้งหลาย มีปหาราทอสูรเป็นต้น.
บทว่า คนฺธพฺพา ได้แก่ พวกคนธรรพ์มีบุตรคนธรรพ์ ชื่อว่า ปัญจสิกขะ
เป็นต้น. บทว่า มหาราชาโน ได้แก่ มหาราชทั้ง 4.
บทว่า อหินินฺทฺริยํ มีอินทรีย์ไม่เลว คือมีอินทรีย์ไม่วิการ.
บทว่า โส นิมฺมิโต คือ พระพุทธเจ้า อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเนรมิต.
บทว่า โวทานตฺถปุจฺฉา การถามถึงประโยชน์แห่งธรรมขาว คือถาม
ธรรมอันวิเศษ. บทว่า อตีตปุจฺฉา การถามถึงส่วนอดีต คือการถาม
ปรารภธรรมอันเป็นอดีต. แม้ในธรรมอันเป็นอนาคต ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า กุสลปุจฺฉา ถามถึงกุศลธรรม คือถามธรรมที่ไม่มีโทษ.
บทว่า อกุสลปุจฺฉา ถามธรรมที่เป็นอกุศล คือถามธรรมที่มีโทษ. บทว่า
อพฺยากตปุจฺฉา ถามถึงอัพยากตธรรม คือถามถึงธรรมอันตรงกันข้าม
กับธรรมทั้งสองนั้น. บทว่า อชฺเฌสามิ ตํ คือ ข้าพระองค์ขอวิงวอน
พระองค์. บทว่า กถยสฺสุ เม คือ ขอพระองค์ได้โปรดตรัสบอกธรรม

1. ม. สํสยปกฺขนฺโท.

นั้นแก่ข้าพระองค์. บทว่า โคตฺตญาตโก คือ ผู้เป็นญาติโดยโคตร. บทว่า
โคตฺตพนฺธุ เป็นเผ่าพันธุ์โดยโคตร คือเป็นญาติใกล้ชิดโดยโคตร.
บทว่า เอเกนากาเรน คือ โดยส่วนเดียว. บทว่า สนฺติปทํ สันติบท
คือบทคือนิพพาน กล่าวคือสันติ. บทว่า เย ธมฺมา สนฺตาธิคมาย ธรรม
เหล่าใดเป็นไปเพื่อบรรลุความสงบ คือธรรมมีสติปัฏฐานเป็นต้นเหล่าใด
เป็นไปเพื่อได้นิพพาน. บทว่า สนฺติผุสนาย เพื่อถูกต้องความสงบ
คือเพื่อถูกต้องนิพพานด้วยความถูกต้องคือญาณ. บทว่า สจฺฉิกิริยาย
เพื่อทำให้แจ้ง คือเพื่อทำให้ประจักษ์. บทว่า มหนฺตํ สีลกฺขนฺธํ
ศีลขันธ์ใหญ่ คือกองศีลใหญ่. แม้ในสมาธิขันธ์เป็นต้นก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
ศีลขันธ์เป็นต้นเป็นทั้งโลกิยะและโลกุตระ. วิมุตติญาณทัสสนะเป็นโลกิยะ
อย่างเดียว.
บทว่า ตโมกายสฺส ปทาลนํ ทำลายกองมืด คือกำจัดกองอวิชชา.
บทว่า วิปลฺลาสสฺส เภทนํ ทำลายวิปัลลาส คือทำลายวิปัลลาส
4 อย่าง. บทว่า ตณฺหาสลฺลสฺส อพฺพุหณํ คือ ถอนลูกศรคือตัณหา.
บทว่า อภิสงฺขารสฺส วูปสมํ ระงับอภิสังขาร คือดับอภิสังขารมีปุญญา-
ภิสังขารเป็นต้น . บทว่า ภารสฺส นิกฺเขปนํ การปลงภาระ คือวางภาระ
อันได้แก่เบญจขันธ์. บทว่า สํสารวฏฺฏสฺส อุปจฺเฉทํ การตัดสังสารวัฏ
คือตัดความเป็นไปแห่งสังสารวัฏ. บทว่า สนฺตาปสฺส นิพฺพาปนํ ดับความ
เดือดร้อน คือดับความร้อนคือกิเลส. บทว่า ปริฬาหสฺส ปฏิปสฺสทฺธึ
ระงับความเร่าร้อน คือสงบความเร่าร้อน คือกิเลส. บทว่า เทวเทโว
คือพระพุทธเจ้าผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพทั้งหลาย.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะเมื่อทรงเห็น จึงทรงกำจัด

กิเลสทั้งหลายเสียได้ด้วยประการใด ครั้นทรงเห็นด้วยประการนั้นแล้ว
ทรงเห็นความเป็นไปอย่างนั้น จึงเสด็จปรินิพพาน ฉะนั้นเมื่อจะทรงทำ
ความนั้นให้แจ่มแจ้ง จึงทรงชักชวนเทพบริษัทนั้นในการละกิเลสด้วย
ประการทั้งปวง ทรงเริ่มตรัสคาถา 5 คาถา มีอาทิว่า มูลํ ปปญฺจสงฺขาย
กิเลสเป็นรากเหง้าแห่งส่วนธรรมเครื่องเนิ่นช้า ดังนี้.
ในคาถานั้น พึงทราบความโดยสังเขปแห่งคาถาต้นก่อน. บทว่า
ปปญฺจ ในบทว่า ปปญฺจสงฺขา ส่วนธรรมเครื่องเนิ่นช้า คือตัณหาที่ท่าน
บอกไว้. ปปญฺจา คือ ตัณหานั้นแล ชื่อว่า ปปญฺจสงฺขา ส่วนแห่งธรรม
เครื่องเนิ่นช้า. กิเลสทั้งหลายมีอวิชชาเป็นต้น เป็นรากเหง้าแห่งปปัญจ-
ธรรมนั้น. ภิกษุพึงกำจัดกิเลสทั้งปวงอันเป็นไปอยู่ คือกิเลสที่เป็นรากเหง้า
แห่งส่วนธรรมเครื่องเนิ่นช้า และอัสมิมานะด้วยปัญญา ก็ตัณหาที่มี
ณ ภายในอย่างใดอย่างหนึ่งพึงเกิดขึ้น ภิกษุพึงเป็นผู้มีสติศึกษา เพื่อ
กำจัดเพื่อละตัณหาเหล่านั้นในกาลทุกเมื่อ คือพึงเป็นผู้มีสติตั้งมั่นศึกษา.
บทว่า อชฺฌตฺตสมุฏฺฐานา วา มีตัณหาในภายในเป็นสมุฏฐาน
คือตัณหาเกิดขึ้นในจิต. บทว่า ปุเรภตฺตํ ในกาลก่อนภัต คือก่อนอาหาร
กลางวัน. บทว่า ปุเรภตฺตํ เป็นทุติยาวิภัตติลงในอรรถแห่งอัจจันตสังโยคะ
แปลว่าสิ้นกาลก่อนภัต. แต่โดยอรรถเป็นสัตตมีวิภัตติ แปลว่า ในกาล
ก่อนภัต. ในภายหลังภัตเป็นต้นก็มีนัยนี้. บทว่า ปจฺฉาภตฺตํ ในภายหลัง
ภัย คือหลังอาหารกลางวัน. บทว่า ปุริมยานํ ในยามต้น คือส่วนแรก
ของราตรี. มชฺฌิมยามํ ในยามกลาง คือส่วนที่สองของราตรี. บทว่า
ปจฺฉินยามํ ในยามหลัง คือส่วนที่สามของราตรี. บทว่า กาเฬ คือ
ในข้างแรม. บทว่า ชุณฺเห คือ ในข้างขึ้น. บทว่า วสฺเส ในฤดูฝน

คือในฤดูฝน 4 เดือน. บทว่า เหมนฺเต ในฤดูหนาว คือในฤดูหนาว
4 เดือน. บทว่า คิมฺเห ในฤดูร้อน คือในฤดูร้อน 4 เดือน. บทว่า
ปุริเม วโยกฺขนฺเธ ในขันธ์วัยต้น คือในส่วนของวัยแรก ได้แก่ใน
ปฐมวัย. ก็ใน 3 วัยเหล่านั้น สำหรับคนมีอายุ 100 ปีเป็นเกณฑ์ ในวัย
หนึ่ง ๆ ก็มีอายุ 33 ปี กับ 4 เดือน.
พึงทราบความในคาถาแรกอย่างนี้ก่อน พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรง
แสดงเทศนาประกอบด้วยไตรสิกขา ด้วยธรรมเป็นยอด คืออรหัตแล้ว
เพื่อทรงแสดงด้วยการละความถือตัวอีก จึงตรัสคาถา มีอาทิว่า ยํกิญฺจิ
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยํกิญฺจิ ธมฺมมภิชญฺญา อชฺฌตฺตํ ภิกษุ
พึงรู้คุณธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นภายใน คือพึงรู้คุณธรรมของตน
มีความเป็นผู้มีตระกูลสูงเป็นต้น. บทว่า อถวาปิ พหิทฺธา คือ หรือพึง
รู้คุณของอาจารย์และอุปัชฌาย์ในภายนอก. บทว่า น เตน ถามํ กุพฺเพถ
ไม่พึงทำความถือตัวด้วยคุณธรรมนั้น. บทว่า สตานํ อันผู้สงบทั้งหลาย
คือผู้มีคุณธรรมคือความสงบ. บทว่า สนฺตานํ คือ เป็นผู้ดับมานะ. บทว่า
น วุตฺตา แปลว่า ไม่กล่าว. บทว่า นปฺปวุตฺตา คือ ไม่แก้.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงถึงวิธีไม่ทำความถือตัว
นั้น จึงตรัสคาถาว่า เสยฺโย น เตน ภิกษุไม่พึงสำคัญว่าดีกว่าเขาด้วยคุณ
ธรรมนั้น ดังนี้เป็นต้น.
บทนั้นมีความดังนี้ ภิกษุไม่พึงสำคัญว่า เราดีกว่าเขา เราต่ำกว่าเขา
หรือแม้ว่าเราเสมอเขาด้วยมานะนั้น ภิกษุผู้เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมเป็น

อันมาก มีความเป็นผู้มีตระกูลสูงเป็นต้นเหล่านั้น ไม่พึงกำหนดตนดำรง
อยู่โดยนัยมีอาทิว่า เราบวชแล้วจากตระกูลสูง.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดง แม้ด้วยการละมานะอย่างนี้ บัดนี้
เพื่อจะทรงแสดงด้วยการสงบกิเลสทั้งปวง จึงตรัสคาถาว่า อฺฌตฺตเมว
กิเลสภายในนี้แล ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อชฺฌตฺตเมว อุปสเม ภิกษุพึงสงบกิเลส
ภายในนี้แล คือพึงสงบกิเลสทั้งหมดมีราคะเป็นต้นในตนนั่นแล. บทว่า
น อญฺญโต ภิกขุ สนฺตฺเมเสยฺย ภิกษุไม่พึงแสวงหาความสงบโดยทางอื่น
คือไม่พึงแสวงหาความสงบโดยอุบายอื่น นอกจากสติปัฏฐานเป็นต้น.
บทว่า กุโต นิรตฺตํ วา ความว่า ความไม่มีด้วยตนย่อมไม่มีแต่ที่ไหน ๆ.
บทว่า น เอเสยฺย คือ ไม่พึงแสวงหาด้วยศีลและพรตเป็นต้น. บทว่า
น คเวเสยฺย ไม่พึงค้นหา คือ ไม่พึงมองดู. บทว่า น ปริเยเสยฺย
ไม่พึงเข้าหา คือไม่พึงเห็นบ่อย ๆ.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงความเป็นผู้คงที่ของ
พระขีณาสพผู้สงบแล้วในภายใน จึงตรัสคาถาว่า มชฺเฌ ยถา เหมือน
คลื่นย่อมไม่เกิดในท่ามกลางสมุทร ดังนี้เป็นต้น.
บทนั้นมีความดังนี้ คลื่นย่อมไม่เกิดในท่ามกลางประมาณ 4,000
โยชน์ คืออยู่ระหว่างกลางส่วนบนและส่วนล่างของมหาสมุทร หรือใน
ท่ามกลางสมุทรที่ตั้งอยู่ในระหว่างภูเขา สมุทรนั้นสงบไม่หวั่นไหวฉันใด
ภิกษุผู้เป็นพระขีณาสพพึงเป็นผู้หยุดอยู่ ไม่มีความหวั่นไหวฉันนั้น ภิกษุ
เช่นนั้นไม่พึงทำกิเลสเครื่องฟูขึ้นมีราคะเป็นต้นในที่ไหน ๆ.
บทว่า อุพฺเพเธน คือ โดยส่วนเบื้องล่าง บทว่า คมฺภีโร คือ

มหาสมุทรลึกประมาณ 84,000 โยชน์ ตั้งแต่หลังน้ำ. ปาฐะว่า อุพฺเพโธ
บ้าง. บทนั้นไม่ดี. บทว่า เหฏฺฐา น้ำข้างล่าง คือน้ำภายใน. บทว่า อุปริ
น้ำข้างบน คือน้ำเบื้องบน. บทว่า มชฺเฌ คือ ระหว่างกลาง. บทว่า
น กมฺปติ คือ ไม่หวั่นไหวจากที่ตั้ง. บทว่า น วิกมฺปติ คือไม่วนไปวนมา.
บทว่า น จลติ คือ ไม่ปั่นป่วน. บทว่า น เวธติ คือ ไม่กระเพื่อม.
บทว่า นปฺปเวธติ คือ ไม่ซัดไปมา. บทว่า น สมฺปเวธติ คือไม่ม้วนไปมา.
บทว่า อเนริโต คือ เป็นสมุทรไม่หวั่นไหว. บทว่า อฆฏฺฏิโต คือ ไม่
กำเริบ. บทว่า อจลิโต คือ ไม่หวั่นไหว. บทว่า อนาลุลิโต ไม่ขุ่นมัว
คือไม่มีเปือกตม. บทว่า ตตฺร อุมิ โน ชายติ คลื่นไม่เกิดในที่นั้น.
บทว่า สตฺตนฺนํ ปพฺพตานํ อนฺตริกาสุ คือ สมุทรสีทันดร มีอยู่ในระหว่าง
ภูเขาทั้ง 7 มีภูเขายุคันธรเป็นต้น. บทว่า สีทนฺตรา สมุทรสีทันดร ชื่อว่า
สีทา เพราะแม้ที่สุดปุยนุ่นตกไปในสมุทรเหล่านั้นก็จม. ชื่อว่า อนฺตรา
เพราะเกิดในระหว่างภูเขา. ปาฐะว่า สีตนฺตรา1 ก็มี
บัดนี้ พระพุทธนิมิต เมื่อจะทรงอนุโมทนาพระธรรมเทศนาที่พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงด้วยธรรมเป็นยอด คือพระอรหัตให้ยิ่งขึ้นไป เมื่อ
ตรัสถามปฏิปทาเบื้องต้น ของพระอรหัตนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า อกิตฺตยิ
ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น อกิตฺตยิ แปลว่า ได้ทรงแสดงแล้ว . วิวฏจกฺขุ
ผู้มีพระจักษุแจ่มแจ้ง คือประกอบด้วยจักษุ 5 แจ่มแจ้ง คือไม่มีเครื่อง
กั้น. บทว่า สกฺขิธมฺมํ สักขิธรรม คือธรรมที่ประจักษ์แก่พระองค์
อันพระองค์ได้รู้ยิ่งแล้วเพื่อประกาศ. บทว่า ปริสฺสยินยํ ธรรมเครื่อง
กำจัดอันตราย คือเพื่อกำจัดอันตราย. บทว่า ปฏิปทํ วเทหิ คือ ขอ

1. ม. อนฺตรสีทา.

พระองค์จงตรัสตอบข้อปฏิบัติในบัดนี้เถิด. บทว่า ภทฺทนฺเต ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ คือพระพุทธนิมิตตรัสเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ขอ
ความเจริญจงมีแด่พระองค์เถิด. อีกอย่างหนึ่ง ท่านอธิบายว่า ขอพระ-
องค์จงทรงตอบปฏิปทาอันเจริญดีแก่ข้าพระองค์เถิด. บทว่า ปาฏิโมกฺขํ
อถวาปิ สมาธึ
คือ ปาติโมกข์หรือแม้สมาธิ พระพุทธนิมิตตรัสถามแบ่ง
ปฏิปทานั้นนั่นเอง. ตรัสถามมรรคด้วยบทว่า ปฏิปทํ. ตรัสถามศีล
และสมาธิด้วยบทนอกนี้.
บทว่า มํสจกฺขุนาปิ แม้ด้วยมังสจักษุ คือแม้ด้วยมังสจักษุอันเป็น
ไปกับด้วยบารมีธรรมที่สะสมมา. บทว่า ทิพฺพจกฺขุนาปิ แม้ด้วยทิพยจักษุ
จักษุชื่อว่า ทิพฺพ เพราะเป็นเช่นกับของทิพย์. จริงอยู่ เทวดาทั้งหลาย
มีปสาทจักขุเป็นทิพย์ เกิดขึ้นเพราะกรรมสุจริต ไม่เกลือกกลั้วด้วยดี
เสมหะและเลือดเป็นต้น สามารถรับอารมณ์แม้ในที่ไกลได้เพราะพ้นจาก
สิ่งเศร้าหมอง. แม้ทิพยจักษุนี้ก็เกิดขึ้นด้วยกำลังการบำเพ็ญความเพียร
ญาณจักษุก็เช่นเดียวกัน เพราะเหตุนั้นชื่อว่า ทิพฺพ เพราะเป็นเช่นกับ
ของทิพย์ เพราะได้มาด้วยทิพพวิหารธรรม เพราะอันตนอาศัยอยู่ใน
ทิพพวิหารธรรมบ้าง เพราะรุ่งเรืองมากด้วยกำหนดอาโลกสัญญาบ้าง.
ทั้งหมดพึงทราบโดยทำนองเดียวกันกับศัพทศาสตร์. ชื่อว่าทิพยจักษุเพราะ
มีจักษุเป็นทิพย์. พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระจักษุแจ่มแจ้งแม้ด้วยทิพยจักกษุ
นั้น.
บัดนี้ พระสังคีติกาจารย์เพื่อจะกล่าวจักษุ 5 อย่างโดยพิสดาร จึง
กล่าวคำมีอาทิว่า กถํ ภควา มํสจกฺขุนา วิวฏจกฺขุ พระผู้มีพระภาคเจ้า
มีพระจักษุแจ่มแจ้งด้วยมังสจักขุ เป็นอย่างไรดังนี้.

พึงทราบความในบทนี้ว่า มํสจกฺขุมฺหิ ภควโต ปญฺจ วณฺณา
สํวิชฺชนฺติ
สี 5 สีมีในพระมังสจักษุของพระผู้มีพระภาคเจ้า คือ สี 5 สี
ย่อมได้เฉพาะพระองค์ ในพระจักษุอันประกอบด้วยพระบารมีธรรมที่
สะสมมาของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า. บทว่า นีโล จ วณฺโณ สีเขียว คือสี
ดอกผักตบ. บทว่า ปีตโก จ วณฺโณ สีเหลือง คือสีดอกกรรณิการ์. บทว่า
โลหิตโก จ วณฺโณ สีแดง คือสีปีกแมลงทับ. บทว่า กณฺโห จ วณฺโณ สีดำ
คือสีดอกอัญชัน. บทว่า โอหาโต จ วณฺโณ สีขาว คือสีดาวประกายพรึก.
บทว่า ยตฺถ จ อกฺขิโลมานิ ปติฏฺฐิตานิ คือ ขนพระเนตรทั้งหลายตั้งอยู่
เฉพาะที่ใด. บทว่า นีลํ ในบทนี้ว่า ตํ นีลํ โหติ สุนีลํ ที่นั้นมีสีเขียว
เขียวสนิทดังนี้ ท่านกล่าวโดยรวมไว้ทั้งหมด. บทว่า สุนีลํ คือ เขียวสนิท
เว้นช่องว่าง. บทว่า ปาสาทิกํ น่าชม คือให้เกิดความน่าชม. บทว่า
ทสฺสนียํ น่าดู. บทว่า อุมฺมารปุปฺผสมานํ เหมือนดอกผักตบ คือเช่น
กับดอกบัวจงกลนี. บทว่า ตสฺส ปรโต ต่อจากนั้น คือที่ข้างภายนอก
โดยรอบขนพระเนตรนั้น. บทว่า ปีตกํ สีเหลือง ท่านกล่าวรวบยอด.
บทว่า สุปิตกํ เหลืองนวล คือเหลืองสนิทเว้นช่องว่าง. บทว่า อุภยโต
จ อกฺขิกูฏานิ
เบ้าพระเนตรทั้งสอง คือท้ายพระเนตรทั้งสองข้าง. บทว่า
โลหิตกานิ มีสีแดงกล่าวรวบยอด. บทว่า สุโลหิตกานิ คือ แดงสนิท
ไม่ปรากฏช่อง. บทว่า มชฺเณ ภณฺหํ ท่ามกลางพระเนตรมีสีดำ คือดำ
คล้ายดอกอัญชันตั้งอยู่กลางพระเนตร. บทว่า สุกณฺหํ ดำงาม คือดำสนิท
เว้นช่องว่าง. บทว่า อลูขํ ไม่หมองมัว คือมีสิริ. บทว่า สินิทฺธํ สนิท
คือประณีต. บทว่า อฬาริฏฺฐกสมานํ 1 เหมือนสีสมอดำ คือเช่นกับ
ผลสมอดำที่เอาเปลือกออกแล้ว. บาลีว่า อทฺทาริฏฺฐกสมานํ เหมือนลูก

1. ม. ภทฺทาริฏฺฐฺกสสมานํ คล้ายเมล็ดในผลมะคำดีควายที่ปอกเปลือก.

ประคำดีควายดังนี้ก็มี. อธิบายความบาลีนั้นว่า เช่นกับกาเปียกชุ่ม. บทว่า
โอทาตํ สีขาว ท่านกล่าวโดยรวม. บทว่า สุโวทาตํ ขาวงาม คือขาวสนิท
เช่นเงินกลมเว้นช่องว่าง. ท่านแสดงความเป็นสีขาวยิ่งด้วยสองบทว่า เสตํ
ปณฺฑรํ
คือ ขาวผ่อง. บทว่า ปากติเกน มํสจกฺขุนา คือ พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้ามีพระมังสจักขุเป็นปกติ. บทว่า อตฺตภาวปริยาปนฺเนน คือ อาศัย
อยู่ในพระวรกาย. บทว่า ปุรินสุจริตกมฺมาภินิพฺพตฺเตน เกิดขึ้นเพราะ
สุจริตกรรมในภพก่อน คือเกิดขึ้นเพราะกรรมมีกายสุจริตเป็นต้น ใน
อัตภาพที่เกิดแล้วในภพก่อน. บทว่า สมนฺตา โยชนํ ปสฺสติ ทรงเห็น
โยชน์หนึ่งโดยรอบ คือทรงเห็นที่อยู่ภายในฝาเป็นต้น ในที่โยชน์หนึ่ง
ประมาณ 4 คาวุตโดยรอบ เว้นจากเครื่องกีดกั้นด้วยมังสจักขุปกติ. บทว่า
ทิวา เจว รตฺตึ คือ ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน. บทว่า จตุรงฺคสมนฺนาคโต
คือ มีมืดเค็มที่เว้นแสงสว่างประกอบด้วยองค์ 4. บทว่า สุริโย จ อตฺถงฺ-
คมิโต
พระอาทิตย์อัสดงคต คือพระอาทิตย์เกิดแสงกล้าดังขึ้นแล้วตกไป.
บทว่า กาฬปกฺโข จ อุโปสโถ วันอุโบสถข้างแรม คือวันอุโบสถ
แรม 15 ค่ำ ในกาฬปักษ์. บทว่า ติพฺโพ จ วนสณฺโฑ แนวป่าทึบ
คือแนวไม้รกชัฏ. บทว่า มหา จ อกาลเมโฆ อพฺภุฏฺฐิโต อกาลเมฆใหญ่
ตั้งขึ้น คือพื้นหมอกดำใหญ่ตั้งขึ้น. บทว่า กุฑฺโฑ วา ฝาก็ดี คือฝา
ก่อด้วยอิฐ. บทว่า กวาฏํ วา บานประตูก็ดี คือบานประตูและบานหน้าต่าง
ก็ดี. บทว่า ปากาโร วา กำแพงก็ดี คือกำแพงดินเหนียวเป็นต้นก็ดี.
ปพฺพโต วา ภูเขาก็ดี คือภูเขามีภูเขาดินเป็นต้นก็ดี. บทว่า คจฺฉํ วา
กอไม้ก็ดี คือกอไม้อ่อนก็ดี. บทว่า ลตา วา เถาวัลย์ก็ดี คือเถาวัลย์
มีสีดำเป็นต้นก็ดี. บทว่า อาวรณํ รูปานํ ทสฺสนาย เป็นเครื่องบังการเห็น

รูปทั้งหลาย คือเป็นเครื่องกั้นเพื่อเห็นรูปารมณ์ทั้งหลาย. บทว่า เอกติลผลํ
นิมิตฺตํ กตฺวา
คือ เอาเมล็ดงาเมล็ดหนึ่งทำเป็นเครื่องหมาย. บทว่า ติลวาเห
ปกฺขิเปยฺย
คือ ใส่สงในเกวียนบรรทุกงา. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า
กระพองช้างและเกวียนสองเล่ม ชื่อว่าวาหะ. บทว่า ตญฺเญว ติลผลํ
อุทฺธเรยฺย
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหยิบเอาเมล็ดงานั้นแหละขึ้นมาได้ คือ
ทรงหยิบเมล็ดงาที่ทำเครื่องหมายไว้นั้นขึ้นมาได้.
บทว่า ทิพฺเพน จกฺขุนา นี้ มีความได้กล่าวไว้แล้ว . บทว่า วิสุทฺ-
เธน
ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ คือด้วยการเห็นจุติและอุปบัติอันบริสุทธิ์
เพราะเหตุมีทิฏฐิบริสุทธิ์ จริงอยู่ ผู้ใดเห็นเพียงจุติอย่างเดียว ไม่เห็น
อุปบัติ ผู้นั้นชื่อว่าย่อมถือเอาซึ่งอุจเฉททิฏฐิ. ผู้ใดเห็นอุปบัติอย่างเดียว
ไม่เห็นจุติ ผู้นั้นชื่อว่าย่อมถือเอาซึ่งสัสสตทิฏฐิ เพราะปรากฏสัตว์เกิดใหม่.
ส่วนผู้ใดเห็นทั้งสองอย่างนั้น เพราะผู้นั้นก้าวล่วงทิฏฐิแม้ทั้งสองอย่างนั้น
เสีย ฉะนั้น ความเห็นของเขาจึงเป็นเหตุแห่งความเห็นบริสุทธิ์. ส่วน
พระพุทธบุตรทั้งหลายย่อมเห็นทั้งสองอย่างนั้น ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า
ความเห็นชื่อว่าบริสุทธิ์ เพราะเป็นเหตุแห่งความเห็นบริสุทธิ์. เห็นความ
บริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ เพราะเห็นรูปล่วงอุปจารของมนุษย์. อีก
อย่างหนึ่ง พึงทราบว่า ชื่อว่าล่วงจักษุของมนุษย์ เพราะล่วงมังสจักษุอัน
เป็นของมนุษย์. ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์นั้น. บทว่า
สตฺเต ปสฺสติ ทรงเห็นหมู่สัตว์ คือทรงแลดูหมู่สัตว์ ดุจมนุษย์ทั้งหลาย
ดูด้วยตาเนื้อฉะนั้น. ในบทว่า จวมาเน อุปปชฺชมาเน นี้ พึงทราบ
ความดังนี้ ในขณะจุติก็ดี ขณะอุปบัติก็ดี ไม่สามารถจะเห็นได้ด้วยทิพย-
จักษุ ท่านประสงค์เอาว่า ก็สัตว์เหล่าใดใกล้จะจุติ จักจุติเดี๋ยวนี้ สัตว์

เหล่านั้นก็กำลังจุติอยู่. ส่วนสัตว์เหล่าใดถือปฏิสนธิและเกิดแล้วในทันที
สัตว์เหล่านั้นกำลังเกิดอยู่. ท่านแสดงไว้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรง
เห็นสัตว์เหล่านั้นที่กำลังจุติ และกำลังอุปบัติ. บทว่า หีเน เลว คือเลว
เพราะประกอบด้วยผลอันเกิดแต่โมหะ. ประณีตตรงกันข้ามกับเลวนั้น.
บทว่า สุวณฺเณ มีผิวพรรณดี คือมีผิวพรรณน่าปรารถนา น่าใคร่น่าเอ็นดู
เพราะประกอบด้วยผลอันเกิดแต่อโทสะ. ผิวพรรณชั่วตรงกันข้ามกับผิว-
พรรณดีนั้น คือมีรูปพิกลตรงข้ามกับรูปสวย. บทว่า สุคเต ได้ดี คือมั่งคั่ง
มีทรัพย์มาก เพราะประกอบด้วยผลอันเกิดแต่อโลภะ. บทว่า ทุคฺคเต
ได้ชั่ว คือยากจน ไม่มีข้าวและน้ำ เพราะประกอบด้วยผลอันเกิดแต่โลภะ.
บทว่า ยถากมฺมูปเค หมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม คือเข้าถึงกรรมที่ตน
สะสมไว้.
ในบทเหล่านั้น ท่านกล่าวถึงกิจของทิพยจักษุ ด้วยบทมีอาทิว่า
จวมาเน อันมีในบทก่อน. แต่ด้วยบทนี้ท่านกล่าวถึงกิจ คือความรู้หมู่
สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม. นี้เป็นลำดับของการเกิดขึ้นแห่งญาณนั้น ภิกษุ
ในธรรมวินัยนี้ เจริญอาโลกสัญญามุ่งถึงนรก เห็นหมู่สัตว์นรกกำลัง
เสวยทุกข์ใหญ่. การเห็นนั้นเป็นกิจต้องทิพยจักษุเท่านั้น. ภิกษุนั้นกระทำ
ไว้ในใจอย่างนี้ว่า สัตว์เหล่านี้ทำกรรมอะไรไว้หนอจึงเสวยทุกข์นี้ ดังนี้.
ลำดับนั้น ภิกษุนั้นก็เกิดญาณอันมีกรรมนั้นเป็นอารมณ์ว่า เพราะทำกรรม
อย่างนี้ ๆ ดังนี้. อนึ่ง ภิกษุเจริญอาโลกสัญญามุ่งสู่เทวโลกในเบื้องบน
เห็นหมู่สัตว์ในสวนนันทวัน มิสสกวันและปารุสกวันเป็นต้น เสวยมหา-
สมบัติอยู่. แม้ความเห็นนั้นก็เป็นกิจของทิพยจักษุเหมือนกัน. ภิกษุนั้น
กระทำไว้ในใจอย่างนี้ว่า สัตว์เหล่านั้นทำกรรมอะไรไว้หนอ จึงเสวยสมบัติ
นี้ ดังนี้. ลำดับนั้น ภิกษุนั้นก็เกิดญาณอันมีกรรมนั้นเป็นอารมณ์ว่า


เพราะทำกรรมอย่างนี้ ๆ ดังนี้. นี้ชื่อว่า ยถากัมมูปคญาณ (รู้ว่าสัตว์เป็น
ไปตามกรรม). ญาณนี้ไม่มีบริกรรมต่างหาก. ญาณนี้ฉันใด แม้อนาคตัง-
สญาณ ก็ฉันนั้น. เพราะว่าญาณเหล่านั้นมีทิพยจักษุเป็นบาท จึงย่อมสำเร็จ
พร้อมกับทิพยจักษุนั่นเอง.
บทว่า อิเม ในบทมีอาทิว่า อิเม วต โภนฺโต สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้
เป็นคำแสดงถึงการเห็นด้วยทิพยจักษุ บทว่า วต เป็นนิบาตลงในอรรถ
แห่งความเศร้า. บทว่า โภนฺโต คือ ผู้เจริญ. ชื่อว่า ทุจริต เพราะ
ประพฤติชั่วหรือประพฤติประทุษร้าย เพราะมีใจเน่าด้วยกิเลส. ชื่อว่า
กายทุจริต เพราะประพฤติชั่วทางกาย หรือประพฤติชั่วเกิดแต่กาย. แม้
ในบทนอกนี้ก็นัยนี้เหมือนกัน. บทว่า สมนฺนาคตา คือ มีความพร้อม.
บทว่า อริยานํ อุปวาทกา ติเตียนพระอริยเจ้า คือเป็นผู้ประสงค์
ความพินาศต่อพระอริยเจ้าผู้เป็นพุทธะ ปัจเจกพุทธะ และสาวกพุทธะ
โดยที่สุดแม้พระโสดาบันผู้เป็นคฤหัสถ์ กล่าวติเตียนด้วยอันติมวัตถุ (โทษ
มีในที่สุด) หรือด้วยกำจัดคุณ. ท่านอธิบายว่า ได้แก่ด่า ติเตียน. กล่าวว่า
ภิกษุเหล่านี้ไม่มีสมณธรรม ภิกษุเหล่านี้ ไม่ใช่สมณะ ดังนี้ ชื่อว่าติเตียน
ด้วยอันติมวัตถุ. กล่าวว่าภิกษุเหล่านี้ไม่มีฌาน วิโมกข์ มรรค หรือผล
ดังนี้ พึงทราบว่า ชื่อว่าติเตียนด้วยกำจัดคุณ อนึ่ง ภิกษุนั้นรู้อยู่ก็ดี ไม่รู้
อยู่ก็ดี พึงติเตียน ย่อมเป็นอันติเตียนพระอริยเจ้าแม้ทั้งสองอย่างนั้น.
กรรมหนัก เช่นอนันตริยกรรม ที่ห้ามสวรรค์และห้ามมรรค ยังแก้ไขได้.
เพราะฉะนั้น ผู้ใดติเตียนพระอริยเจ้า ผู้นั้นควรไป หากตนเป็นผู้ใหญ่กว่า
ควรนั่งน้อมกาย แล้วกล่าวขอขมาว่า ผมได้กล่าวอย่างนี้ ๆ กะท่าน ขอ
ท่านได้ยกโทษให้แก่ผมด้วยเถิด ดังนี้ หากตนอ่อนกว่าพึงไหว้น้อมกาย

ประคองอัญชลี แล้วขอขมาว่า กระผมได้กล่าวอย่างนี้ ๆ ขอพระคุณเจ้า
โปรดยกโทษให้แก่กระผมด้วยเถิด ดังนี้ . แม้หากว่าท่านไปที่อื่น ควร
ไปเองหรือส่งสัทธิวิหาริกเป็นต้นไป ให้ท่านยกโทษ. หากไม่สามารถจะ
ไปได้หรือไม่สามารถจะส่งไปได้. ก็ไปหาภิกษุที่อยู่ในวิหารนั้น หากว่าภิกษุ
เหล่านั้นอ่อนกว่า พึงนั่งน้อมกาย หากแก่กว่าควรปฏิบัติตามนัยที่กล่าว
แล้วในภิกษุผู้ใหญ่นั้นแล แล้วกล่าวขอขมาว่า ท่านผู้เจริญ กระผมได้กล่าว
อย่างนี้ ๆ กะพระคุณเจ้าชื่อโน้น ขอพระคุณเจ้านั้นจงยกโทษให้แก่กระผม
ด้วยเถิด ดังนี้. แม้เมื่อไม่ขอขมาต่อหน้า ก็ควรทำเช่นเดียวกัน. หาก
ภิกษุเที่ยวไปรูปเดียว ที่อยู่ที่ไปของภิกษุนั้นไม่ปรากฏ. พึงไปหาภิกษุ
ผู้ฉลาดรูปหนึ่ง แล้วกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ กระผมได้กล่าวอย่างนี้ ๆ กะท่าน
ผู้มีอายุชื่อโน้น เมื่อกระผมนึกไป ๆ ถึงท่านก็มีความเดือนร้อน กระผม
จะทำอย่างไรดี. ภิกษุผู้ฉลาดรูปนั้นก็จักกล่าวว่า คุณอย่าคิดมากไปเลย
พระเถระยกโทษให้แก่คุณ ขอให้คุณสงบใจเสียเถิด. พึงประคองอัญชลี
มุ่งตรงไปยังทิศที่พระอริยเจ้านั้นไป แล้วพึงกล่าวว่า ขอพระคุณเจ้าโปรด
ยกโทษเถิด ดังนี้. ผิว่า พระอริยเจ้านั้นนิพพานไปแล้ว ควรไปยังที่ตั้ง
เตียงที่ท่านนิพพาน แล้วไปขอขมาจนถึงอัฐิที่บรรจุไว้. เมื่อทำอย่างนี้แล้ว
จึงเป็นอันไม่ห้ามสวรรค์ไม่ห้ามมรรค ย่อมเป็นเหมือนเดิมนั่งเอง.
บทว่า มิจฺฉาทิฏฺฐิกา คือ มีความเห็นวิปริต. บทว่า มิจฺฉาทิฏฐิกมฺม-
สมาทาน
ยึดถือการทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ คือยึดถือการกระทำต่าง ๆ
หลายอย่างด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ อนึ่ง ผู้ใดชักชวนแม้ผู้อื่นในกายกรรม
เป็นต้น อันเป็นมูลแห่งมิจฉาทิฏฐิ ผู้นั้นก็ชื่อว่า เป็นผู้ยึดถือการกระทำ
ต่าง ๆ หลายอย่าง. อนึ่ง ในบทนี้ แม้เมื่อมิจฉาทิฏฐิสงเคราะห์ด้วยการ

ถือเอาวจีทุจริต และด้วยการถือเอามโนทุจริตในการติเตียนพระอริยเจ้า
คำกล่าวของทั้งสองอย่างเหล่านั้นพึงทราบว่า เพื่อแสดงความมีโทษมาก
เพราะผู้ติเตียนพระอริยเจ้าเป็นผู้มีโทษมาก เช่นเดียวกับอนัตริยกรรม
แม้ข้อนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนสารีบุตร ภิกษุถึง
พร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา พึงให้ผู้อื่นยินดีในทิฏฐธรรมด้วย แม้
ฉันใด ดูก่อนสารีบุตร ข้อนี้ก็มีอุปไมยฉันนั้น เรากล่าวว่าผู้ไม่ละคำพูด
นั้น ไม่ละจิตนั้น ไม่สละคืนทิฏฐินั้นเก็บสะสมไว้ เหมือนยินดีใน
นรก.

ไม่มีอย่างอื่นที่มีโทษมากกว่ามิจฉาทิฏฐิเลย. เหมือนอย่างที่พระผู้-
มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่เห็นธรรมอื่นแม้
สักอย่างเดียว ที่มีโทษมากเหมือนมิจฉาทิฏฐินี้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
โทษทั้งหลายมีมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างยิ่ง.

บทว่า กายสฺส เภทา กายแตก คือสละขันธ์ที่ยังมีชีวิตอยู่. บทว่า
ปรมฺมรณา เมื่อตายไป คือยึดขันธ์อันจะเกิดในลำดับนั้น . อีกอย่างหนึ่ง
บทว่า กายสฺส เภทา คือ ตัดชีวิตินทรีย์. บทว่า ปรมฺมรณา เบื้องหน้า
แต่จุติจิต. บทว่า อปายํ เป็นต้น เป็นไวพจน์ของนรกทั้งหมด. เพราะ
ว่านรกชื่อว่า อบาย เพราะปราศจากความเจริญที่สมมติว่าบุญ อันเป็น
เหตุแห่งสวรรค์และนิพพาน หรือเพราะไม่มีความเจริญแห่งความสุข
ทั้งหลาย. นรกชื่อว่า ทุคติ เพราะเป็นที่อยู่อาศัยของทุกข์. อีกอย่างหนึ่ง
ชื่อว่า ทุคติ เพราะเกิด คือถึงด้วยกรรมชั่วอันมากไปด้วยโทษ. นรก
ชื่อว่า วินิปาตะ เพราะเป็นที่ที่อวัยวะน้อยใหญ่แตกพินาศไป. ชื่อว่า
นิรยะ เพราะเป็นที่ที่ไม่มีความเจริญที่รู้กันว่าเป็นความชอบใจ.

ท่านแสดง กำเนิดเดียรัจฉาน ด้วย อปาย ศัพท์. จริงอยู่ กำเนิด
เดียรัจฉาน ชื่อว่า อบาย เพราะปราศจาก สุคติ ไม่ชื่อ ทุคติ. เพราะ
ยังเป็นที่เกิดของนาคราชเป็นต้น ผู้มีศักดิ์ใหญ่.
ท่านแสดง ปิตติวิสัย (ที่อยู่ของเปรต) ด้วย ทุคคติ ศัพท์. จริงอยู่
ปิตติวิสัย ชื่อว่า อบายและทุคติ เพราะปราศจากสุคติและเพราะไปหา
ทุกข์ ส่วนนรกชื่อว่า วินิบาต. ส่วนวินิบาตไม่ชื่อว่า ปิตติวิสัย เพราะ
ไม่ตกไปเช่นอสูร.
ท่านแสดง อสุรกาย ด้วย วินิปาต ศัพท์. จริงอยู่ อสุรกายนั้นชื่อว่า
อบายและทุคติตามความที่กล่าวไว้แล้ว และท่านเรียกว่า วินิบาต เพราะ
ตกไปทั้งร่างกาย.
ท่านแสดง นรก มีหลายอย่าง มีอเวจีเป็นต้น ด้วย นิรย ศัพท์.
บทว่า อุปฺปนฺนา เข้าไปถึงแล้ว . ในบทนั้นท่านประสงค์เอาว่าเกิดแล้ว.
พึงทราบธรรมฝ่ายขาวโดยตรงกันข้ามกับที่กล่าวแล้ว. แต่ความต่าง
กันมีดังต่อไปนี้. ในบทนั้น แม้มนุษยคติท่านก็สงเคราะห์ด้วย สุคติ ศัพท์.
เทวดาก็เหมือนกันท่านสงเคราะห์ด้วย สัคค ศัพท์. ในบทนั้น ชื่อว่า สุคติ
เพราะมีทางไปดี. ชื่อว่า สัคคะ เพราะเลิศไปด้วยอารมณ์มีรูปเป็นต้นดี.
แม้ทั้งหมดนั้นมีความว่า ชื่อว่า โลก เพราะแตกสลาย. บททั้งปวงว่า
อิติ ทิพฺเพน จกฺขุนา เป็นต้นเป็นคำสรุป. ความสังเขปในบทนี้ว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นด้วยทิพยจักขุด้วยประการฉะนี้แล.
ทิพยจักษุญาณ ย่อมเป็นไปในอารมณ์ 4 ด้วยอำนาจแห่งปริตต-
อารมณ์ ปัจจุบันอารมณ์ อัชฌัตตอารมณ์และพหิทธอารมณ์. ยถากัมมู-

ปคญาณ ย่อมเป็นไปในอารมณ์ 5 ด้วยอำนาจแห่งปริตตอารมณ์
มหัคคตอารมณ์ อดีตอารมณ์ อัชฌัตตอารมณ์ และพหิทธอารมณ์
อนาคตังสญาณ ย่อมเป็นไปในอารมณ์ 8 ด้วยอำนาจแห่งปริตตอารมณ์
มหัคคตอารมณ์ อัปปมาณอารมณ์ มรรคอารมณ์ อนาคตอารมณ์
อัชฌัตตอารมณ์ พหิทธอารมณ์ และนวัตตัพพอารมณ์.
บทว่า อากงฺขมาโน จ ภควา คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนา
อยู่. บทว่า เอกมฺปิ โลกธาตุํ ปสฺเสยฺย พึงทรงเห็นแม้โลกธาตุหนึ่ง
คือพึงทรงเห็นจักรวาลหนึ่ง. ในบทว่า สหสฺสิมฺปิ จูฬนิกา แม้โลกธาตุ
พันหนึ่งเป็นส่วนเล็กนี้ พึงทราบดังต่อไปนี้ โลกธาตุนี้ชื่อว่าพันหนึ่ง
เป็นส่วนเล็กในอาคตสถานว่า
โลกทรงไว้ซึ่งโลกธาตุพันหนึ่ง ตลอดเวลาที่พระจันทร์
และพระอาทิตย์ยังเดินอยู่ ยังสว่างไสว หมุนไปทั่วทิศ
อำนาจของท่านย่อมเป็นไปในโลกนี้.

บทว่า จูฬนิกํ คือ เล็กน้อย. ในบทว่า ทฺวิสหสฺสิมฺปิ มชฺฌิมิกํ
โลกธาตุํ
แม้โลกธาตุสองพันเป็นส่วนปานกลางนี้ พึงทราบความดังนี้
ปริมาณจักรวาลล้านหนึ่งคูณจักรวาลพันหนึ่ง ด้วยส่วนของพัน รวมเป็น
หนึ่งล้าน ชื่อว่าโลกธาตุสองพันเป็นส่วนปานกลาง. ด้วยโลกธาตุนี้
ท่านแสดงถึงเขตอันเป็นกำเนิดของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. จริงอยู่ ที่
ประมาณเท่านี้ย่อมหวั่นไหว ในวันเคลื่อนจากเทวโลกในภพสุดท้ายของ
พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย แล้วถือปฏิสนธิในครรภ์ของมารดา ในวันประสูติ
จากครรภ์ ในวันเสด็จออกผนวช และในวันตรัสรู้ ในวันแสดงพระธัมม-
จักกัปปวัตตนสูตร ในวันปลงอายุสังขาร และในวันเสด็จปรินิพพาน.

บทว่า ติสหสฺสึ มหาสหสฺสิมฺปิ โลกธาตุ โลกธาตุสามพัน เพราะ
คูณด้วยหลายพัน แม้โลกธาตุหลายพัน คือชื่อว่า มหาสหสฺสี หลายพัน
เพราะคูณโลกธาตุตั้งแต่พันหนึ่ง สามพันที่สาม พันที่หนึ่ง แล้วคูณโลก-
ธาตุพันหนึ่งเป็นส่วนปานกลาง. ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ท่านแสดงถึงโลกมี
ปริมาณแสนโกฏิจักรวาล. อนึ่ง พระคณกปุตตติสสเถระกล่าวไว้อย่างนี้ว่า
นั่น ไม่ใช่ปริมาณของโลกธาตุสามพันและหลายพัน เพราะปริมาณนี้ ชื่อว่า
โลกธาตุสามพันหลายพัน เป็นความงมงายในการท่องบ่นของอาจารย์
ทั้งหลาย เป็นที่เสื่อมของวาจา เป็นที่กำหนดจักรวาลล้านโกฏิ. ก็ด้วย
เหตุมีประมาณเพียงเท่านี้ เป็นอันท่านแสดงถึงอาณาเขตของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า. อานุภาพของอาฏานาฏิยปริตร อิสิคิลิปริตร ธชัคคปริตร โพช-
ฌังคปริตร ขันธปริตร โมรปริตร เมตตปริตร และรัตนปริตร ย่อม
แผ่ไปในระหว่างนี้. บทว่า ยาตา วา ปน อากงฺเขยฺย คือ พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงปรารถนาเท่าใด. ด้วยบทนี้เป็นอันท่านแสดงวิสัยเขต
(เขตของวิสัย ) จริงอยู่ พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มีการกำหนดปริมาณของ
วิสัยเขต. พระสังคีติกาจารย์ นำข้ออุปมาในความไม่มีวิสัยเขตนี้มา ดัง
ต่อไปนี้.
หากใคร ๆ เอาเมล็ดผักกาดมาให้เต็มในแสนโกฏิจักรวาล ตลอดถึง
พรหมโลก แล้วเอาเมล็ดผักกาดเมล็ดหนึ่งใส่ลงในจักรวาลหนึ่งทางทิศ
ตะวันออก เมล็ดผักกาดเหล่านั้นแม้ทั้งหมดก็ถึงความสิ้นไป ส่วนจักรวาล
ทั้งหลายทางทิศตะวันออกไม่สิ้นไป. แม้ในทิศใต้เป็นต้นก็มีนัยนี้เหมือน
กัน . ชื่อว่าความไม่มีวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ในการกำหนดประมาณ
นั้นย่อมไม่มี. บทว่า ตาวตกํ ปสฺเสยฺย คือ พึงทรงเห็นได้เท่านั้น.

ทิพยจักษุกถาก็จบลงด้วยบทว่า ทิพยจักษุของพระผู้มีพระภาคเจ้าบริสุทธิ์
อย่างนี้.
บทว่า กถํ ภควา ปญฺญาจกฺขุนา วิวฏจกฺขุ พระผู้มีพระภาคเจ้า
มีพระจักษุแจ่มแจ้งแม้ด้วยปัญญาจักษุอย่างไร คือมีพระจักษุอันปัญญา
จักษุไม่ปิดแล้วด้วยเหตุไร.
บทว่า มหาปญฺโญ ปุถุปญฺโญ พระผู้มีพระภาคเจ้ามีปัญญามาก
มีปัญญากว้างขวางเป็นต้น. บทสุดท้ายว่า ตตฺถ อติโรจติ ยทิทํ ปญฺญาย
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงไพโรจน์ยิ่ง ด้วยพระปัญญาในที่นั้น ดังนี้ มีความ
ได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั่นแล.
บทว่า พุทฺธจกฺขุนา ด้วยพุทธจักษุ คือด้วยอินทรียปโรปริยัตตญาณ
(ปรีชากำหนดรู้ความหย่อนและยิ่งแห่งอินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลาย) เเละ
ด้วยอาสยานุสยญาณ (ปรีชากำหนดรู้อัธยาศัยดีเลว และอนุสัยกิเลสอัน
นอนเนื่องอยู่ในสันดานของสัตว์ทั้งหลาย). มีญาณสองเหล่านี้ จึงชื่อว่า
พุทธจักษุ. สัพพัญญุตญาณ ชื่อว่าสมันตจักษุ (จักษุรอบตอบ). มรรค-
ญาณ 3 ชื่อว่าธรรมจักษุ. บทว่า โลกํ โวโลเกนฺโต อทฺทส สตฺเต คือ
ทรงตรวจดูโลก ได้ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลาย. พึงทราบความในบทว่า อปฺปร-
ชกฺเข
มีกิเลสเป็นเพียงดังธุลีน้อยเป็นต้น ธุลีมีราคะเป็นต้น ในปัญญาจักษุ
โดยนัยที่กล่าวแล้วของสัตว์เหล่าใดน้อย สัตว์เหล่านั้นชื่อว่ามีกิเลสน้อย.
ธุลีมีราคะเป็นต้นของสัตว์เหล่านั้นมาก สัตว์เหล่านั้นชื่อว่ามีกิเลสเพียงดัง
ธุลีมาก. อินทรีย์มีศรัทธาเป็นต้นของสัตว์เหล่าใดกล้า สัตว์เหล่านั้นชื่อว่า
มีอินทรีย์กล้า. อินทรีย์เหล่านั้นของสัตว์เหล่าใดอ่อน สัตว์เหล่านั้นชื่อว่ามี
อินทรีย์อ่อน. อาการศรัทธาเป็นต้นเหล่านั้นของสัตว์เหล่าใดดี สัตว์เหล่านั้น

ชื่อว่ามีอาการดี. สัตว์เหล่าใดกำหนดเหตุที่กล่าวแล้วสามารถรูได้โดยง่าย
สัตว์เหล่านั้นชื่อว่าแนะนำได้โดยง่าย. สัตว์เหล่าใดเห็นปรโลกและวัฏฏะ
โดยความเป็นภัย สัตว์เหล่านั้นชื่อว่าเห็นภัยในปรโลกและวัฏฏะ. บทว่า
อุปฺปลินิยํ คือ ในกอบัว. แม้ในบทนอกนี้ก็มีนัยนี้เหมือนกัน . บทว่า
อนฺโต นิมุคฺคโปสินี คือ จมอยู่ในน้ำอันน้ำหล่อเลี้ยงไว้. บทว่า อุทกา
อจฺจุคฺคมฺม ติฏฺฐนฺติ
โผล่ขึ้นจากน้ำ คือตั้งขึ้นพ้นน้ำ. ในดอกบัวเหล่านั้น
ดอกบัวใดโผล่ขึ้นพ้นน้ำ ดอกบัวนั้นรอต้องแสงพระอาทิตย์ ก็จะบานใน
วันนี้. ดอกบัวใดตั้งอยู่เสมอน้ำ ดอกบัวนั้นจะบานในวันรุ่งขึ้น. ดอกบัว
ใดยังไม่พ้นจากน้ำจมอยู่ในน้ำ น้ำเลี้ยงไว้ ดอกบัวนั้นจะบานในวันที่สาม
นั่นแล. ดอกบัวใดไม่บานเลยก็จักเป็นอาหารของปลาและเต่าไปเท่านั้น
เอง ดอกบัวนั้นท่านแสดงไว้ว่ามิได้ยกขึ้นสู่บาลี แต่ก็ควรนำมากล่าวไว้.
ท่านแสดงถึงบุคคล จำพวก คืออุคฆติตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ
ปทปรมะ เหมือนดอกบัว 4 ชนิดฉะนั้น. บุคคลใดรู้ธรรมในเวลาที่ท่าน
ยกขึ้นมากล่าว บุคคลนี้ท่านเรียกว่า อุคฆติตัญญู.
บุคคลใด เมื่อท่านขยายความโดยพิสดารแห่งภาษิตที่ยกขึ้นกล่าว
โดยย่อ จึงรู้ธรรม บุคคลนี้ท่านเรียกว่า วิปจิตัญญู.
บุคคลใด สอบถามใส่ใจ เสพคบนั่งใกล้กัลยาณมิตร จึงรู้ธรรม
บุคคลนี้ท่านเรียกว่า เนยยะ.
บุคคลใด แม้บอกมาก กล่าวมาก ทรงไว้มาก สอนมาก ก็ไม่รู้
ธรรมในชาตินั้น บุคคลนี้ท่านเรียกว่า ปทปรมะ.
ในบุคคลเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูหมื่นโลกธาตุ
เช่นกับดอกบัวเป็นต้น ได้ทรงเห็นโดยอาการทั้งปวงอย่างนี้ว่า วันนี้

อุคฆติตัญญูจะบาน วันนี้วิปจิตัญญูจะบาน ดังนี้. พระธรรมเทศนาของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า จะสำเร็จประโยชน์แก่บุคคล 3 จำพวกในอัตภาพ
นี้แล พระธรรมเทศนาก็จะเป็นวาสนาแก่บุคคลผู้เป็นปทปรมะในอนาคต.
พึงทราบความในบทว่า ราคจริโต เป็นราคจริตเป็นต้นนี้ ดังนี้
ชื่อว่าเป็นราคจริต เพราะมีความประพฤติในอารมณ์ด้วยความกำหนัด.
ชื่อว่าเป็นโทสจริต เพราะมีความประพฤติในอารมณ์ด้วยความประทุษ-
ร้าย. ชื่อว่าเป็นโมหจริต เพราะมีความประพฤติด้วยความหลง. ชื่อว่า
เป็นวิตกจริต เพราะมีความประพฤติในอารมณ์ ด้วยความวิตกด้วยความ
ตรึก. ชื่อว่าเป็นศรัทธาจริต เพราะมีความประพฤติในอารมณ์ด้วยความ
เชื่อง่าย. ชื่อว่าเป็นญาณจริต เพราะมีความประพฤติเป็นความรู้ ประพฤติ
ด้วยความรู้ ประพฤติโดยความรู้ หรือประพฤติเพื่อความรู้. บทว่า
ราคจริตสฺส แก่บุคคลผู้เป็นราคจริต คือราคะหนา ราคะจัด. แม้บทอื่น
ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า อสุภกถํ กเถติ ตรัสอสุภกถา คือทรงบอกกถาปฏิสังยุต
ด้วยอสุภะ 10 อย่าง มีอุทธุมาตกะ (ขึ้นอืด) เป็นต้น. ดังที่พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ควรเจริญอสุภะเพื่อละราคะ ดังนี้. บทว่า เมตฺตา-
ภาวนํ อาจิกฺขติ
คือ ตรัสบอกเมตตาภาวนา คือตรัสเมตตาภาวนาอันจับจิต.
ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า พึงเจริญเมตตา เพื่อละพยาบาท
ดังนี้.
บทว่า อุทฺเทเส ในการเรียน คือในการท่องบ่น. บทว่า ปริ-
ปุจฺฉาย
ในการไต่ถาม คือในการกล่าวเนื้อความ. บทว่า กาเลน
ธมฺมสฺสวเน
ในการฟังธรรมตามกาล คือในการฟังปริยัติธรรมให้ยิ่งใน

เวลาเรียน. บทว่า ธมฺมสากจฺฉา ในการสนทนาธรรม คือในการ
สนทนากับผู้อื่น. บทว่า คุรุสํวาเส ในการอยู่ร่วมกับครู คือในการเข้า
ใกล้ครู. บทว่า นิเวเสติ ให้อยู่ คือให้ตั้งอยู่ในสำนักของอาจารย์.
บทว่า อานปานสฺสตึ กเถติ บอกอานาปานสติ คือบอกกรรมฐาน
สัมปยุตด้วยอานาปานสติ (กำหนดลมหายใจเข้าออก) ดังที่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสไว้ว่า พึงเจริญอานาปานสติเพื่อกำจัดวิตก. บทว่า ปาสาท-
นียํ นิมิตฺตํ อาจิกฺขติ
ตรัสบอกพระสูตรอัน เป็นนิมิตดี คือตรัสบอก
พระสูตรอันให้เกิดความเลื่อมใส มีจุลลเวทัลลสูตรและมหาเวทัลลสูตร
เป็นต้น.
บทว่า พุทฺธสุโพธึ ความตรัสรู้ดีแห่งพระพุทธเจ้า คือการตรัสรู้
ความเป็นพุทธะของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า. บทว่า ธมฺมสุธมฺมํ ความ
เป็นธรรมดีแห่งพระธรรม คือความที่โลกุตรธรรม 9 อย่าง อันพระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว. บทว่า สงฺสุปฏิปตฺตึ การปฏิบัติของพระสงฆ์
คือการปฏิบัติดี มีการปฏิบัติชอบของพระอริยสงฆ์ 8 จำพวก.
บทว่า สีลานิ จ อตฺตโน ศีลของตน คือทรงบอกศีลอันเป็นของ
ตน. บทว่า วิปสฺสนานิมิตฺตํ ธรรมอันเป็นนิมิตแห่งวิปัสสนา คือทรง
บอกธรรมอันปฏิสังยุตด้วยวิปัสสนา มีความเกิดและความดับเป็นต้น.
บทว่า อนิจฺจาการํ มีอาการไม่เที่ยง คือมีอาการมีแล้วไม่มี. บทว่า
ทุกฺขาการํ มีอาการเป็นทุกข์ คือมีอาการบีบคั้น คือความเกิดและความ
ดับ. บทว่า อนตฺตาการํ มีอาการไม่เป็นไปในอำนาจ.
บทว่า เสเล ยถา ปพฺพตมุทฺธนิฏฺฐิโต คือ บุรุษยืนอยู่บนยอดภูเขา
ศิลาหนาทึบ. เมื่อยืนบนภูเขานั้นก็ไม่มีกิจที่จะขึ้นต้นไม้เพื่อดูเลย. บทว่า

ตถูปมํ เปรียบเหมือนภูเขานั้น คือเปรียบด้วยภูเขาศิลาอันปฏิภาคกันนั้น.
ในบทนี้มีความสังเขปดังต่อไปนี้
บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บนยอดเขาศีลา พึงเห็นหมู่ชน
โดยรอบฉันใด ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีปัญญาดี
คือมีปัญญาประเสริฐ มีพระจักษุโดยรอบ พระองค์มี
ความโศกไปปราศแล้ว ทรงขึ้นสู่ปราสาทอันสำเร็จด้วย
ธรรม สำเร็จด้วยปัญญา ขอจงทรงพิจารณาใคร่ครวญ
ไตร่ตรองถึงหมู่ชนผู้อาเกียรณด้วยความโศก และถูกชาติ
ชราครอบงำแล้วฉันนั้น.

ในบทนี้มีอธิบายดังต่อไปนี้ :- เหมือนอย่างว่า ชนทั้งหลายทำพื้น
ที่อันใหญ่โดยรอบเชิงภูเขา แล้วปลูกกระท่อมไว้ที่แนวพื้นที่อันเหมาะแก่
การเพาะปลูก ณ ที่นั้น นึกก่อไฟในเวลากลางคืน และพึงมีความมืด
ประกอบด้วยองค์ 4 ทีนั้นเมื่อบุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บนยอดภูเขานั้นมองดู
พื้นที่ พื้นที่ไม่ปรากฏ แนวเพาะปลูกไม่ปรากฏ กระท่อมไม่ปรากฏ
มนุษย์ที่นอนในกระท่อมไม่ปรากฏ ปรากฏแต่เพียงเปลวไฟในกระท่อม
ฉันใด เมื่อพระตถาคตทรงขึ้นสู่ธรรมปราสาททรงตรวจดูหมู่สัตว์ สัตว์
เหล่าใดไม่ทำความดีไว้ สัตว์เหล่านั้นแม้นั่ง ณ ข้างพระชานุเบื้องขวาใน
วิหารเดียวกัน ก็ไม่มาสู่คลองแห่งพุทธจักษุ เหมือนลูกศรที่ซัดไปใน
ตอนกลางคืนฉะนั้น ส่วนสัตว์เหล่าใด ทำความดีไว้ เป็นเวไนยบุคคล
สัตว์เหล่านั้นแม้อยู่ไกลพระตถาคตก็ย่อมมาสู่คลองพุทธจักษุ สัตว์เหล่านั้น
ดุจไฟ และดุจภูเขาหิมวันตะ. ข้อนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า

สัตบุรุษทั้งหลายย่อมปรากฏในที่ไกล เหมือนภูเขา
หิมวันตะ อสัตบุรุษทั้งหลายไม่ปรากฏในที่นี้ เหมือน
ลูกศรที่ซัดไปในตอนกลางคืนฉะนั้น.

พึงทราบความในบทว่า สพฺพญฺญุตญาณํ พระสัพพัญญุตญาณนี้
ดังต่อไปนี้.
ชื่อว่า สัพพัญญู เพราะรู้ทั่วถึงสิ่งทั้งปวงอันเป็นคลองแห่งธรรม
ที่ควรแน่นำ 5 ประการ. ธรรมทั้งปวงมีประเภทเป็นสังขตธรรมและ
อสังขตธรรม ชื่อว่าเป็นคลองแห่งธรรมที่ควรแนะนำ 5 ประการ คือ
สังขาร 1 วิการ 1 ลักษณะ 1 นิพพาน 1 บัญญัติ 1 ความเป็นแห่ง
สัพพัญญู ชื่อว่าสัพพัญญุตา. สัพพัญญุตานั่นเอง คือญาณํ ควรจะกล่าว
ว่า สพฺพญฺญุตาญาณํ ท่านก็กล่าวว่า สพฺพญฺญุตญาณํ. บทว่า สพฺพญฺญู
รู้สิ่งทั้งปวง คือพึงถึงเป็นผู้รู้สิ่งทั้งปวง 5 อย่าง คือกมสัพพัญญู (รู้สิ่ง
ทั้งปวงตามลำดับ) 1. สกึสัพพัญญู (รู้สิ่งทั้งปวงคราวเดียว) 1. สตต-
สัพพัญญู
(รู้สิ่งทั้งปวงเนืองๆ ) 1. สัตติสัพพัญญู (รู้สิ่งทั้งปวงตาม
ความสามารถ) 1. ญาตสัพพัญญู (รู้สิ่งทั้งปวงที่รู้แล้ว) 1.
ในสัพพัญญู 5 อย่างนั้น เพราะไม่มีกาลอันจะรู้สิ่งทั้งปวงตามลำดับ
จึงไม่ชื่อว่า กมสัพพัญญู. เพราะไม่มีการยึดถืออารมณ์คราวเดียว จึง
ไม่ชื่อว่า สกึสัพพัญญู. เพราะมีจิตมีอารมณ์แน่นอนในจักขุวิญญาณ
เป็นต้น เพราะดับภวังคจิต และเพราะไม่มีการประกอบ จึงไม่ชื่อว่า
สตตสัพพัญญู. เพราะสามารถรู้สิ่งทั้งปวงโดยไม่เหลือ พึงเป็นสัตติ-
สัพพัญญู หรือเพราะรู้แจ้งธรรมทั้งปวง พึงเป็นญาตสัพพัญญู. การ
รู้สิ่งทั้งปวงไม่มีในสัตติสัพพัญญู ด้วยประการฉะนี้. แม้ข้อนั้นก็ไม่ถูก

เพราะท่านกล่าวไว้ว่า สิ่งอะไร ๆ ในโลกนี้ อันพระปัญญาจักษุของพระ-
ตถาคตนั้นไม่เห็น ย่อมไม่มี ฯลฯ เพราะเหตุนั้น พระตถาคตจึงชื่อว่า
ผู้มีสมันตจักษุ. ญาตสัพพัญญูนั่นแลถูก. ก็เมื่อเป็นอย่างนี้สัพพัญญู
ย่อมมี โดยกิจ โดยไม่หลง โดยสำเร็จแต่การณะ โดยอาศัยอาวัชชนะ.
บทว่า เตน ญาเณน ด้วยญาณนั้น คือด้วยญาณอันรู้สิ่งทั้งปวงนั้น. เพื่อ
สำเร็จความเป็นสัพพัญญูโดยปริยายอื่นอีก ท่านจึงกล่าวคาถาว่า น ตสฺส
ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า น ตสฺส อทิฏฺฐมิธตฺถิ กิญฺจิ อะไร ๆ ใน
โลกนี้ อันพระปัญญาจักษุของพระตถาคตไม่เห็นย่อมไม่มี ความว่า อะไร ๆ
ในไตรโลกนี้ อันพระปัญญาจักษุของพระตถาคตนั้น ไม่เห็นในกาล
ปัจจุบันนี้ แม้ประมาณน้อยย่อมไม่มี. บทว่า อตฺถิ นี้ เป็นบทอาขยาต
เป็นไปในปัจจุบันแล. ด้วยบทนี้ ท่านจึงแสดงความที่ธรรมทั้งปวงอัน
เป็นไปในปัจจุบันกาล อันพระตถาคตรู้แล้ว. ก็ในคาถานี้ประกอบ
เข้าไป เพื่อสะดวกในการแต่งคาถา. อโถ ศัพท์ ในบทว่า อโถ วิญฺญาตํ
อนึ่ง ธรรมชาติอะไร ๆ ที่ควรรู้ นี้เป็นนิบาตลงในความรับรองคำพูด.
บทว่า อวิญฺญาตํ มีปาฐะที่เหลือว่า ธรรมชาติอะไร ๆ ชื่อว่า อันพระ-
พุทธญาณไม่รู้แจ้ง อันเป็นกาลในอดีต มิได้มี. แม้เว้นปาฐะที่เหลือใน
การถือเอา อัตถิ ศัพท์ อันเป็นอัพยยศัพท์ ก็ควรเหมือนกัน. ด้วยบทนี้
ท่านแสดงถึงความที่ธรรมทั้งปวง อันเป็นอดีตกาลอัน พระตถาคตรู้แล้ว.
บทว่า อชานิตพฺพํ ไม่ควรรู้ คือธรรมชาติที่ไม่ควรรู้ อันเป็นอนาคตกาล
จักไม่มีหรือย่อมไม่มี. ด้วยบทนี้ ท่านแสดงถึงความที่ธรรมทั้งปวงอันเป็น

อนาคตกาล อันพระตถาคตทรงรู้แล้ว. อ อักษรในบทว่า อชานิตพฺพํ
นี้ เพียงเป็นวิเสสนะของกิริยารู้นั่นเอง.
ในบทว่า สพฺพํ อภิญฺญาสิ ยทตฺถิ เนยฺยํ พระตถาคตทรงทราบ
แล้วซึ่งธรรมชาติ ที่ควรแนะนำนั้นทั้งหมด นี้พึงทราบดังนี้.
ธรรมชาติอะไร ๆ อันใดที่ควรแนะนำ ควรรู้ เป็นไปใน 3 กาล
หรือพ้นกาลไปแล้วมีอยู่ พระตถาคตทรงทราบ คือทรงรู้ทรงแทงตลอด
ธรรมชาตินั้นทั้งหมด ด้วยพระสัพพัญญุตญาณอันยิ่ง. ในบทนี้พึงเห็นว่า
อัตถิ ศัพท์ เป็นอัพยยศัพท์ในกาล โดยถือเอา 3 กาลและพ้นกาลด้วย อัตถิ
ศัพท์. บทว่า ตถาคโต เตน สมนฺตจกฺขุ ด้วยเหตุนั้นพระตถาคตจึง
ชื่อว่าผู้มีสมันตจักษุ คือชื่อว่า สมันตจักษุ เพราะมีญาณจักษุอันเป็นไปแล้ว
โดยรอบคือโดยประการทั้งปวง เพราะแสดงโดยไม่เหลือด้วยกาลด้วย
โอกาส. ท่านอธิบายไว้ว่า เพราะเหตุตามที่กล่าวแล้วนั้น พระตถาคต
จึงเป็นพระสัพพัญญูผู้มีสมันตจักษุ พระสัพพัญญุตญาณ สำเร็จลงแล้วด้วย
เทศนาอันเป็นบุคลาธิษฐานด้วยคาถานี้.
บทว่า น อิติหิติหํ คือ มิใช่โดยต้องเชื่อต่อผู้อื่นว่า ธรรมนี้เป็น
ดังนี้ ธรรมนี้เป็นดังนี้. บทว่า น อิติกิริยาย คือ มิใช่โดยได้ยินต่อ ๆ
กันมาว่า ได้ยินว่านี้เป็นอย่างนี้. บทว่า น ปรมฺปราย คือ มิใช่โดยถือตาม
ลำดับสืบ ๆ กันมา. บทว่า น ปิฏกสมฺปทาย มิใช่โดยอ้างตำรา คือมิใช่
โดยอ้างว่านี้เหมาะสมกับตำราพระไตรปิฎกของเรา. บทว่า น ตกฺกเหตุ
มิใช่โดยนึกเอา คือมิใช่โดยคาคคะเนเอา บทว่า น อาการปริวิตกฺเกน
มิใช่โดยตรึกตามอาการ คือมิใช่ตรึกตามเหตุอย่างนี้ว่า เหตุการณ์นี้ดี.

บทว่า น ทิฏฺฐินินชฺฌานกฺขนฺติยา มิใช่โดยชอบว่าควรแก่ทิฏฐิของตน คือ
มิใช่ว่าเหมาะสมกับทิฏฐิที่เราชอบแล้วถือเอา.
พึงทราบความในบทว่า อถวาปิ สมาธึ นี้ดังนี้ บทว่า สมาธึ คือ
ชื่อว่าสมาธิ เพราะจิตเป็นกุศลมีอารมณ์เดียว. ชื่อว่าสมาธิด้วยอรรถว่า
กระไร. ด้วยอรรถว่าตั้งใจมั่น. ชื่อว่าการตั้งใจมั่นนี้เป็นอย่างไร. คือการ
ตั้งจิตและเจตสิกไว้ในอารมณ์เดียวเสมอและโดยชอบ. ท่านอธิบายว่า
การตั้งไว้. เพราะฉะนั้น จิตและเจตสิกทั้งหลาย ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่วุ่นวาย
ตั้งอยู่ในอารมณ์เดียว ด้วยอานุภาพแห่งธรรมใดเสมอและโดยชอบ นี้พึง
ทราบว่าการตั้งใจมั่น.
ท่านกล่าวถึงสมาธินั้นเป็นคาถาประพันธ์ว่า
สมาธินั้น มีความไม่ฟุ้งซ่านเป็นลักษณะ มีความกำจัด
ความฟุ้งซ่านเป็นรส มีความไม่หวั่นไหวเป็นเครื่องปรากฏ
มีความสุข ความเจริญเป็นปทัฏฐาน.

สมาธิ ชื่อว่าตั้งมั่น เพราะตั้งอยู่ในอารมณ์โดยความไม่ขุ่นมัวไม่
หวั่นไหว. สองบทต่อไปเพิ่มอุปสัค. ชื่อว่าตั้งอยู่พร้อม เพราะรวบรวม
แม้อารมณ์ในสัมปยุตธรรมตั้งอยู่. ซึ่งว่าตั้งลง เพราะไม่เข้าไปเกาะอารมณ์
ตั้งอยู่. จริงอยู่ ในฝ่ายกุศลธรรมมี 4 อย่าง คือศรัทธา สติ สมาธิและปัญญา
ย่อมหยั่งลงในอารมณ์. ด้วยเหตุนั้นแล ศรัทธาท่านจึงกล่าวว่าแน่วแน่.
สติท่านกล่าวว่าไม่เลื่อนลอย. สมาธิท่านกล่าวว่าตั้งลงดิ่ง. ปัญญาท่าน
กล่าวว่าหยั่งลง. ส่วนในฝ่ายอกุศลธรรมมี 3 อย่าง คือ ตัณหา ทิฏฐิและ
อวิชชาย่อมหยั่งลงในอารมณ์. ด้วยเหตุนั้นธรรมเหล่านั้นท่านจึงกล่าวว่า

เป็น โอฆะ. อนึ่ง ในฝ่ายอกุศลนี้ จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งได้ แต่ไม่มีกำลัง.
เหมือนอย่างว่า เมื่อบุคคลเอาน้ำรดในที่เปรอะด้วยธุลีแล้วถู ธุลีหายไป
ชั่วขณะเล็กน้อย เมื่อแห้งแล้วธุลีก็ปรากฏตามเดิมอีกฉันใด ความที่จิตมี
อารมณ์เป็นหนึ่งในฝ่ายอกุศล จึงไม่มีกำลังฉันนั้นเหมือนกัน. ชื่อว่าไม่
มีความฟุ้งซ่าน เพราะเป็นปฏิปักษ์ต่อความฟุ้งซ่าน อันเป็นไปแล้วด้วย
อำนาจความฟุ้งซ่านและความสงสัย. จิตแล่นไปด้วยอำนาจความฟุ้งซ่าน
และความสงสัยนั่นแล ชื่อว่าย่อมฟุ้งซ่าน. แต่สมาธินี้ไม่ฟุ้งซ่านอย่างนั้น
เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าไม่ฟุ้งซ่าน. จิตแล่นไป คือแล่นไปข้างโน้นข้างนี้
ด้วยอำนาจความฟุ้งซ่านและความสงสัย. แต่ความเป็นผู้มีใจอันอะไร ๆ ไม่
ให้ฟุ้งซ่านไปได้อย่างนี้ ชื่อว่า อวิสาหฏมานสตา ความมีใจไม่ฟุ้งซ่าน.
บทว่า สมโถ ความสงบ มี 3 อย่างคือจิตตสมถะ (ความสงบจิต) 1 อธิกรณ-
สมถะ (ความสงบอธิกรณ์) 1 สัพพสังขารสมถะ (ความสงบสังขาร
ทั้งปวง) 1. ในสมถะ 3 อย่างนั้น ชื่อว่าจิตตสมถะ เพราะจิตมีอารมณ์
เป็นหนึ่งในสมาบัติ 8. เพราะจิตหวั่นไหว จิตดิ้นรน สงบระงับเพราะ
อาศัยสมถะนั้น ฉะนั้น สมถะนั้นท่านจึงเรียกว่า จิตตสมถะ.
ชื่อว่า อธิกรณสมถะ (ความสงบอธิกรณ์) มี 7 อย่าง มี
สัมมุขาวินัย (ในที่พร้อมหน้าบุคคล วัตถุ และธรรม) เป็นต้น. อธิกรณ์
ทั้งหลายนั้น ๆ สงบระงับไปเพราะอาศัยสมถะนั้น เพราะฉะนั้น สมถะนั้น
ท่านจึงเรียกว่า อธิกรณสมถะ แต่เพราะสังขารทั้งหลายทั้งปวงสงบระงับ
ไป เพราะอาศัยนิพพาน ฉะนั้น นิพพานนั้นท่านจึงเรียกว่า สัพพสังขาร-
สมถะ.
ในความนี้ท่านประสงค์เอาจิตตสมถะ. ชื่อว่า สมาธินทริยะ
เพราะทำความเป็นใหญ่ในลักษณะของสมาธิ. ชื่อว่า สมาธิพละ เพราะ

ไม่หวั่นไหวในอุทธัจจะ บทว่า สมฺมาสมาธิ ได้แก่ สมาธิแน่นอน
สมาธินำสัตว์ออกไป.
ลำดับนั้น เพราะอินทรีย์สังวรเป็นการรักษาศีล หรือเพราะเทศนานี้
ที่พระองค์ทรงแสดงตามลำดับนี้ เป็นที่สบายของเทวดาทั้งหลาย ฉะนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงปฏิปทาเริ่มตั้งแต่อินทรีย์สังวรไป
จึงทรงปรารภคำมีอาทิว่า จกฺขูหิ ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า จกฺขูหิ เนว โลลสฺส ภิกษุไม่พึงเป็นผู้โลเล
ด้วยจักษุทั้งหลาย คือไม่พึงเป็นผู้โลเลด้วยจักษุทั้งหลาย ด้วยอำนาจมีรูปที่
เราไม่เคยดู ควรดูเป็นต้น. บทว่า คามกถาย อาวรเย โสตํ พึงป้องกันหู
จากคามกถา (คำพูดของชาวบ้าน) คือพึงป้องกันหูจากติรัจฉานกถา.
บทว่า จกฺขุโลลิเยน ความเป็นผู้โลเลด้วยจักษุ คือความเป็นผู้
โลเลด้วยจักษุ ด้วยอำนาจความโลภอันเกิดขึ้นแล้วในจักษุทวาร. บทว่า
อทิฏฺฐํ ทกฺขิตพฺพํ รูปที่เราไม่เคยดู ควรดู คือรูปารมณ์ที่เราไม่เคยดูควร
เพื่อจะดู. บทว่า ทิฏฺฐํ สมติกฺกมิตพฺพํ รูปที่เคยเห็นแล้วควรผ่านไป
คือรูปารมณ์ที่เคยเห็นแล้วควรผ่านไป. บทว่า อาราเมน อารามํ สู่สวน
แต่สวน คือสู่สวนผลไม้ สวนดอกไม้เป็นต้น แต่สวนมีสวนดอกไม้เป็น
ต้น. บทว่า ทีฆจาริกํ คือ เที่ยวไปนาน. บทว่า อนวฏฺฐิตจาริกํ เที่ยวไป
ไม่แน่นอน คือเที่ยวไปโดยไม่ตกลงใจ. บทว่า อนุยุตฺโต โหติ
รูปทสฺสนาย
เป็นผู้ขวนขวายเพื่อจะดูรูป คือเป็นผู้ขวนขวายบ่อย ๆ
เพื่อจะดูรูปารมณ์. บทว่า อนฺตรฆรํ ปวิฏฺโฐ เข้าไปสู่ละแวกบ้าน คือ
เข้าไปถึงภายในธรณีประตู. บทว่า วีถึ ปฏิปนฺโน เดินไปตามถนน คือ
ก้าวไประหว่างถนน. บทว่า ฆรมุขานิ โอโลเกนฺโต แลดูหน้ามุขเรือน

คือมองดูประตูเรือน. บทว่า อุทฺธํ โอโลเกนฺโต แลดูข้างบน คือแหงน
หน้ามองดูเบื้องบน. บทว่า จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา เห็นรูปด้วยจักษุ คือ
เห็นรูปด้วยจักขุวิญญาณอันสามารถเห็นรูป ที่เรียกว่าจักษุด้วยอำนาจของ
เหตุ. แต่พระโบราณาจารย์กล่าวไว้ว่า จักษุไม่เห็นรูป เพราะไม่มีจิต
จิตไม่เห็นรูป เพราะไม่มีจักษุ ย่อมเห็นด้วยจิตอันมีปสาทจักษุกระทบ
อารมณ์ทางทวาร. ก็กถาเช่นนี้ชื่อว่าสสัมภารกถา (กล่าวรวมกัน ) ดุจใน
ประโยคมีอาทิว่า ยิงด้วยธนูเพราะฉะนั้น ความในข้อนี้จึงมีว่า เห็นรูป
ด้วยจักษุวิญญาณ. บทว่า นิมิตฺตคฺคาหี เป็นผู้ถือนิมิต คือถือนิมิตหญิง
และชาย หรือนิมิตอันเป็นที่ตั้งแห่งกิเลส มีสุภนิมิตเป็นต้นด้วยอำนาจ
ฉันทราคะ. เพียงเห็นเท่านั้นนิมิตไม่ปรากฏ. บทว่า อนุพฺยญฺชนคฺคาหี
ถืออนุพยัญชนะ คือถืออากาหันต่างด้วยมือ เท้า หัวเราะ ขบขัน พูด
ชำเลืองดูและการเหลียวดูเป็นต้น เรียกว่าอนุพยัญชนะเพราะทำให้ปรากฏ
โดยเป็นเหตุให้กิเลสทั้งหลายปรากฏ. พึงทราบความในบทว่า ยตฺวาธิ-
กรณเมนํ
เป็นต้น ดังต่อไปนี้. ธรรมทั้งหลายมีอภิชฌาเป็นต้นเหล่านี้
พึงครอบงำติดตามบุคคลนั้นผู้ไม่สำรวมจักขุนทรีย์ด้วยประตูคือสติ ผู้ไม่ปิด
จักษุทวารอันเป็นเหตุแห่งการไม่สำรวมจักขุนทรีย์ บทว่า ตสฺส สํรราย
น ปฏิปชฺชติ
ย่อมไม่ปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ คือย่อมไม่ปฏิบัติเพื่อ
ปิดจักขุนทรีย์นั้นด้วยประตูคือสติ. ท่านกล่าวว่า ภิกษุเป็นอย่างนี้ ชื่อว่า
ย่อมไม่รักษาจักขุนทรีย์ ไม่ถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์บ้าง. ในบทนั้น
การสำรวมหรือไม่สำรวม ย่อมไม่มีในจักขุนทรีย์โดยแท้. เพราะสติหรือ
การหลงลืมย่อมไม่เกิดขึ้นเพราะอาศัย จักษุประสาท อีกอย่างหนึ่ง เมื่อใด
รูปารมณ์มาสู่คลองจักษุ เมื่อนั้นเมื่อภวังคจิตเกิดขึ้นแล้วดับไปสองครั้ง

กิริยามโนธาตุยังอาวัชชนกิจให้สำเร็จ เกิดขึ้นแล้วดับไป. แต่นั้นจักษุ-
วิญญาณก็ทำหน้าที่เห็น. แต่นั้นวิปากมโนธาตุ ทำหน้าที่รับ. แต่นั้น
วิปากอเหตุกมโนวิญญาณธาตุ ทำหน้าที่พิจารณา. แต่นั้นกิริยาอเหตุก-
มโนวิญญาณธาตุยังโวฏฐัพพกิจให้สำเร็จ เกิดขึ้นแล้วดับไป. ในลำดับนั้น
ชวนจิตย่อมแล่นไป. ความไม่สำรวมหรือความสำรวมย่อมไม่มีในสมัย
แห่งภวังคจิตแม้นั้น ย่อมไม่มีในสมัยใดสมัยหนึ่ง บรรดาอาวัชชนจิตเป็น
ต้น. ก็ในขณะชวนะจิต หากว่า ความเป็นผู้ทุศีล ความหลงลืม ความไม่รู้
ความไม่อดทน หรือความเกียจคร้านเกิดขึ้น ความไม่สำรวมย่อมมี. ภิกษุ
เมื่อเป็นอยู่อย่างนี้ ท่านเรียกว่าเป็นผู้ไม่สำรวมในจักขุนทรีย์. เพราะเหตุ
ไร. เพราะเมื่อไม่มีการสำรวมในจักขุนทรีย์มีอยู่ แม้ทวารก็ไม่เป็นอัน
คุ้มครอง แม้ภวังคจิต แม้วิถีจิต มีอาวัชชนะเป็นต้น ก็ไม่เป็นอันคุ้มครอง
เหมือนอะไร. เหมือนเมื่อประตู 4 ด้านในนครไม่ปิด แม้จะปิดประตู
เรือนซุ้มและห้องเป็นต้นข้างในก็ตาม ถึงดังนั้นก็ไม่เป็นอันรักษาคุ้มครอง
ทรัพย์ทั้งหมดภายในนครนั่นเอง โจรทั้งหลายเข้าไปทางประตูนคร พึง
ทำตามความต้องการฉันใด เมื่อความเป็นผู้ทุศีลเป็นต้น เกิดขึ้นในชวนะจิต
เมื่อไม่มีการสำรวมนั้น แม้ทวารก็ไม่เป็นอันคุ้มครอง แม้ภวังคจิต แม้วิถี
จิตมีอาวัชชนะเป็นต้น ก็ไม่เป็นอันคุ้มครองฉันนั้นนั่นแล.
บทว่า สทฺธาเทยฺยานิ โภชนะอันเขาถวายด้วยศรัทธา คือโภชนะ
อันเขาเชื่อกรรม ผลของกรรม โลกนี้โลกหน้าแล้วถวาย. อธิบายว่า ไม่
ได้ถวายด้วยอาการอย่างนี้ว่า ภิกษุนี้เป็นญาติ เป็นมิตรของเรา จักทำสิ่งนี้
หรือเขาเคยทำสิ่งนี้ ดังนี้. การถวายอย่างนี้ ไม่ชื่อว่าถวายด้วยศรัทธา.
อนึ่ง บทว่า โภชนานิ นี้ เป็นเพียงหัวข้อเทศนา. แต่โดยอรรถ ท่านกล่าว

คำทั้งหมดนี้ว่า ภิกษุบริโภคโภชนะที่เขาถวายด้วยศรัทธา ห่มจีวร เสพ
เสนาสนะ บริโภคบริขารคือยาอันเป็นปัจจัยแห่งคนไข้. บทว่า เสยฺยถีทํ
เป็นนิบาต มีความว่า นั้นเป็นไฉน. การฟ้อนอย่างใดอย่างหนึ่งชื่อว่า
นัจจะ. ภิกษุแม้เดินไปบ้านก็ไม่ควรแหงนดู. บทว่า คีตํ การขับ ได้แก่
การขับย่างใดอย่างหนึ่ง. บทว่า วาทิตํ ได้แก่ การประโคมอย่างใด
อย่างหนึ่ง. บทว่า เปกฺขํ ได้แก่ มหรสพมีการรำเป็นต้น. บทว่า อกฺขานํ
การเล่านิยาย คือเล่าเรื่องภารตะและรามายณะเป็นต้น (เรื่องรามเกียรติ์)
ภิกษุไม่ควรไปในที่ที่เขาเล่านิยายกัน. บทว่า ปาณิสฺสรํ คือ เพลงปรบมือ.
บทว่า เวตาฬํ คือ ฆ้อง. อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า การร่ายมนต์บนร่าง
ของผู้ตาย. บทว่า กุมฺภถูนํ ระนาด คือการตีบนราง 4 เหลี่ยม. บทว่า
โสภนครกํ คือ หนัง. ท่านอธิบายว่า นครงาม คือมีผู้ทำให้วิจิตรด้วย
ความเฉียบแหลม. บทว่า จณฺฑาลํ เล่นตีคลี. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า
กีฬาชักเปลือกไม้ของคนจัณฑาล. บทว่า วํสํ เล่นไต่ราว คือยกไม้ไผ่
ขึ้นเล่น. บทว่า โธวนํ คือ การเล่นหน้าศพ. ได้ยินว่า ในชนบทบางแห่ง
เมื่อญาติตายเขาไม่เผา ขุดหลุมฝัง. ญาติรู้เวลาที่ผู้ตายนั้นจะเน่า จึงนำ
ออกแล้วล้างกระดูกเอาของหอมทาเก็บไว้. ครั้นถึงวันนักขัตฤกษ์ พวก
ญาติตั้งกระดูกไว้ในที่หนึ่ง ตั้งสุราเป็นต้นไว้ในที่หนึ่ง แล้วพากันร้องไห้
คร่ำครวญไป ดื่มสุราไป. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ในทักขิณาชนบทมีตำบลหนึ่งชื่อโธวนะ ทำตำบลนั้นมีข้าวน้ำ
ลงเคี้ยว ของบริโภค ของลิ้มมากมาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตำบลโธวนะ
นั้นยังมีอยู่ เราไม่กล่าวว่าไม่มี ดังนี้. แต่อาจารย์บางพวกกล่าว การล้าง

กระดูกด้วยการเล่นกล ชื่อโธวนะ. ในการยุทธหัตถีเป็นต้น ภิกษุไม่ควร
รบด้วยช้างเป็นต้น ไม่ควรให้เขารบกัน ไม่ควรดูเขารบกัน.
บทว่า นิพฺพุทฺธํ คือ มวยปล้ำ. บทว่า เสนาพฺยูหํ การจัดกระบวน
ทัพ คือค่ายทหารที่พักนักรบ มีกองทัพเกวียนเป็นต้น. บทว่า อนีกทสฺสนํ
กองทัพ คือดูกองทัพที่ท่านกล่าวไว้โดยนัยมีอาทิว่า กองทัพช้างมีช้าง 3
เชือกเป็นที่สุด.
บทว่า น นิมิตฺตคฺคาหี โหติ ภิกษุไม่ถือนิมิต คือไม่ถือนิมิตดังที่
กล่าวแล้วด้วยอำนาจฉันทราคะ. แม้บทที่เหลือพึงทราบโดยนัยตรงกันข้าม
กับที่กล่าวแล้ว. อนึ่ง ท่านกล่าวไว้แล้วในหนหลังว่า เมื่อความเป็นผู้ทุศีล
เกิดขึ้นแล้วในชวนะจิต เมื่อไม่มีความสำรวม แม้ทวารก็เป็นอันคุ้มครอง
ไม่ได้ แม้ภวังคจิต แม้วิถีจิตมีอาวัชชนะเป็นต้น ก็คุ้มครองไม่ได้ฉันใด
ในที่นี้ก็ฉันนั้น เมื่อศีลเกิดขึ้นแล้วในภิกษุนั้น แม้ทวารก็เป็นอันคุ้มครอง
ได้ แม้ภวังคจิตก็เป็นอันคุ้มครองได้ แม้วิถีจิตมีอาวัชชนะเป็นต้นก็คุ้ม-
ครองได้. เหมือนอะไร. เหมือนเมื่อปิดประตูนครแล้ว แม้ภายในเรือน
เป็นต้น ไม่ได้ปิดก็จริง ถึงดังนั้นทรัพย์สินทั้งหมดในภายในนครก็เป็น
อันรักษาดีแล้ว คุ้มครองดีแล้วนั่นเอง เมื่อประตูนครปิดแล้ว โจรทั้ง
หลายก็เข้าไปไม่ได้ฉันใด เมื่อศีลเป็นต้นเกิดแล้วในชวนะจิต แม้ทวารก็
เป็นอันคุ้มครองได้ แม้ภวังคจิตก็คุ้มครองได้ แม้วิถีจิตมีอาวัชชนะเป็นต้น
ก็คุ้มครองได้. เพราะฉะนั้น ความสำรวมแม้เกิดขึ้นในขณะแห่งชวนะจิต
ท่านก็กล่าวว่า เป็นความสำรวมในจักขุนทรีย์. ต่อจากนี้ทั้งข้างหลังข้าง
หน้าพึงทราบความโดยปริยายที่ท่านกล่าวแล้ว. บทว่า วิสูกทสฺสนา คือ
การดูสิ่งอันเป็นข้าศึกแก่กุศล.

บทว่า คามกถา คือ คำพูดของชาวบ้าน. บทว่า พตฺตึส คือ 32.
คำพูดอันเป็นเครื่องปิดกั้นทางไปสวรรค์และทางแห่งความหลุดพ้น ชื่อว่า
ติรัจฉานกถา เพราะเป็นคำพูดที่ไม่นำสัตว์ออกไป. ในคามกถาเหล่านั้น
คำพูดที่ปรารภพระราชาเป็นไปโดยนัยมีอาทิว่า พระมหาสมมตราช พระ-
เจ้ามันธาตุราช พระเจ้าธรรมาโศกราช มีอานุภาพอย่างนี้ ๆ ชื่อว่า ราชกถา
พูดเรื่องพระราชา. ใน โจรกถา (พูดเรื่องโจร) เป็นต้นก็มีนัยนี้. ใน
คามกถา เหล่านี้ คำพูดอาศัยเคหะโดยนัยมีอาทิว่า พระราชาพระองค์โน้น
มีพระโฉมงามน่าชม ดังนี้ เป็น ติรัจฉานกถา. อนึ่ง คำพูดที่เป็นไปอย่าง
นี้ว่า แม้พระราชาพระองค์นั้นมีอานุภาพมากถึงอย่างนี้ก็ยังสวรรคต ชื่อว่า
ตั้งอยู่ในความเป็นกรรมฐาน. แม้ในพวกโจรคำพูดอาศัยเคหะว่า อัศจรรย์
โจรผู้กล้าหาญทั้งหลายอาศัยการกระทำของพวกโจร ว่ามูลเทพ มีอานุภาพ
มากอย่างนี้ เมฆมาล มีอานุภาพมากอย่างนี้ ดังนี้ ชื่อว่า ติรัจฉานกถา.
แม้ในการรบคำพูดด้วยความชอบใจในเรื่องภารตยุทธ์เป็นต้นว่า ทหารชื่อ
โน้นถูกทหารชื่อโน้นฆ่าอย่างนี้ ถูกแทงอย่างนี้ ก็ชื่อว่า ติรัจฉานกถา.
ส่วนคำพูดที่เป็นไปอย่างนี้ว่า แม้คนนั้นก็ยังตาย ดังนี้ ย่อมเป็นกรรมฐาน
ในที่ทั้งหมด.
อีกอย่างหนึ่งในอาหารมีข้าวเป็นต้น ไม่ควรพูดด้วยความชอบใจ
ในกามว่า เราเคี้ยว กิน ดื่มบริโภค อาหารมีสี มีกลิ่น มีรส ถึงพร้อม
ด้วยผัสสะ อย่างนี้ ดังนี้. อนึ่ง ควรทำให้ประกอบด้วยประโยชน์แล้วพูด
ว่า เมื่อก่อน เราได้ถวายข้าว น้ำ ผ้า ที่นอน ดอกไม้กลิ่นหอมอัน
สมบูรณ์ด้วยสีเป็นต้นอย่างนี้ แก่ท่านผู้มีศีลทั้งหลาย เราได้กระทำการ
บูชาพระเจดีย์ ดังนี้. แม้ใน ญาติกถา (พูดเรื่องญาติ) เป็นต้น ก็ไม่
ควรพูดด้วยความชอบใจว่า ญาติของเราเป็นผู้สามารถ หรือเมื่อก่อนเรา

ได้เที่ยวไปด้วยยานอันวิจิตรอย่างนี้ ดังนี้. อนึ่ง ควรพูดว่าญาติทั้งหลาย
ได้ทำแต่สิ่งที่มีประโยชน์ไว้ แม้ญาติทั้งหลายของเราก็ตายเสียแล้ว หรือ
เมื่อก่อนเราได้ถวายรองเท้าอย่างนี้แก่สงฆ์. แม้ในคามกถา (คำพูดของ
ชาวบ้าน) เป็นต้น ก็ไม่ควรพูดด้วยความชอบใจอย่างนี้ว่า พวกที่อยู่
บ้านโน้นเป็นคนกล้า มีความสามารถด้วยการมีหลักฐานดี ยากจน
หากินง่าย หากินลำบาก ดังนี้. ควรพูดว่า คนนั้นทำสิ่งมีประโยชน์มี
ศรัทธา เลื่อมใส หรือคนนั้นได้ตายเสียแล้ว แม้ในนิคมกถา (พูดเรื่อง
นิคม) นครกถา (พูดเรื่องนคร) ชนนพกถา (พูดเรื่องชนบท) ก็มีนัยนี้
เหมือนกัน. แม้อิตถีกถา (พูดเรื่องสตรี) ก็ไม่ควรพูดด้วยความชอบใจ
เกี่ยวกับผิวและรูปร่างเป็นต้น. ควรพูดอย่างนี้อย่างเดียวว่า หญิงผู้มี
ศรัทธาเลื่อมใสได้ตายเสียแล้ว . แม้ สูรกถา (พูดเรื่องคนกล้า) ก็ไม่ควร
พูดด้วยความชอบใจว่า นักรบชื่อว่านันทิมิตรเป็นคนกล้า. ควรพูดอย่าง
นี้อย่างเดียวว่า นักรบผู้มีศรัทธาเลื่อมใสได้ตายเสียแล้ว ดังนี้. แม้วิสิขา-
กถา (พูดเรื่องตรอก) ก็ไม่ควรพูดด้วยความพอใจว่า ตรอกโน้นเรียบ
ไม่เรียบ. แม้สุรกถา (พูดเรื่องคนกล้า) ก็ไม่ควรพูดด้วยความพอใจว่า
คนโน้นเป็นผู้กล้าเป็นผู้สามารถ ดังนี้. ควรพูดได้อย่างเดียวว่า คนกล้าที่มี
ศรัทธาเลื่อมใสได้ตายไปเสียแล้ว ดังนี้. บทว่า กุมฺภฏฺฐานกถา (พูด
เรื่องท่าน้ำ) ท่านกล่าวว่า อุทกติฏฺฐกถา บ้าง ได้แก่ กุมฺภทาสีกถา
(พูดเรื่องนางกุมภทาสี). ไม่ควรพูดด้วยความพอใจว่า แม้นางกุมภาสี
นั้น น่าเลื่อมใสเป็นหญิงฉลาดเพื่อฟ้อนรำ เพื่อขับร้อง. ควรพูดโดยนัยมี
อาทิว่า นางกุมภทาสีนั้นเป็นหญิงมีศรัทธาเลื่อมใส. บทว่า ปุพฺพเปตกถา
(พูดเรื่องคนที่ล่วงลับไปแล้ว) คือพูดถึงญาติที่ตายไปแล้ว . ในบทนั้นพึง
ทราบวินิจฉัยเช่นเดียวกับพูดถึงญาติที่กำลังเป็นอยู่. บทว่า นานตฺตกถา

(พูดเรื่องเบ็ดเตล็ด) คือพูดไรประโยชน์พ้นจากกถาก่อนและกถาหลัง ที่
เหลือมีสภาพต่าง ๆ กัน. บทว่า โลกกฺขายิกา (พูดเรื่องโลก) คือพูดให้
ชาวโลกหลงเชื่อมีอาทิอย่างนี้ว่า โลกนี้ใครสร้าง คนโน้นสร้าง กามีสีขาว
เพราะกระดูกขาว นกยางโทนมีสีแดง เพราะเลือดแดง. สมุทฺทกฺขายิกา
(พูดเรื่องทะเล) เพราะเหตุไรจึงชื่อว่า สมุทฺทกฺขายิกา. การพูดเรื่อง
สมุทรมีอาทิอย่างนี้ว่า ชื่อว่าสาครเพราะเทพเจ้าประจำสาครขุด ชื่อสมุทร
เพราะประกาศให้รู้ด้วยการชี้นิ้วว่า สาครเราขุด. บทว่า ภโว คือ ความเจริญ.
บทว่า อภโว คือ ความเสื่อม. การพูดถึงเหตุอันไรประโยชน์ธรรมดา ๆ ว่า
ความเจริญเป็นอย่างนี้ ความเสื่อมเป็นอย่างนี้ ดังนี้ ชื่อว่า อิติภวาภวกถา
(พูดเรื่องความเจริญ และความเสื่อม). บทว่า อาวเรยฺย พึงป้องกัน คือ
พึงทำการป้องกัน. บทว่า นิวาเรยฺย พึงห้าม คือพึงกั้นจากอารมณ์.
บทว่า สนฺนิวาเรยฺย พึงสกัดกั้น คือพึงกั้นทำให้ไม่มีเหลือโดยชอบ.
บทว่า รกฺเขขฺย พึงรักษา คือพึงทำการรักษา. บทว่า โคเปยฺย พึง
คุ้มครอง คือพึงคุ้มครองเสมอ. บทว่า ปิทเหยฺย พึงปิด คือพึงทำการ
ปิด. บทว่า ปจฺฉินฺเทยฺย พึงตัดขาด คือพึงตัดกระแสคือตัณหา. บทว่า
เตน เตน น ตุสฺสิ ไม่พอใจด้วยรสนั้น ๆ คือไม่พอใจด้วยรสมีรส
เปรี้ยวเป็นต้นนั้น ๆ. บทว่า อปราปรํ ปริเยสนฺติ ย่อมเที่ยวแสวงหารส
อื่น ๆ คือย่อมแสวงหารสสูง ๆ ขึ้นไป.
บทว่า ผสฺเสน ได้แก่ ผัสสะคือโรค. บทว่า ภวญฺจ นาภิชปฺเปยฺย
ไม่พึงปรารถนาภพ คือไม่พึงปรารถนาภพมีกามภพเป็นต้น เพื่อบรรเทา
ผัสสะนั้น. บทว่า เภรเวสุ จ น สมฺปเวเธยฺย ไม่พึงหวั่นในเพราะ
ความขลาดกลัว คือไม่พึงหวั่นไหวในเพราะความขลาดกลัว มีราชสีห์และ

เสือโคร่งเป็นต้น อันเป็นปัจจัยแห่งผัสสะนั้น. หรือไม่พึงหวั่นไหวใน
อารมณ์ อันเป็นวิสัยแห่งฆานินทรีย์และมนินทรีย์ที่เหลือ. ด้วยประการ
ฉะนี้ เป็นอันท่านกล่าวถึงความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ครั้นทรงแสดงความสำรวมอินทรีย์ด้วยบทก่อนแล้ว ด้วยบทนี้จึงทรงแสดง
ว่า อันภิกษุผู้อยู่ในป่า ได้เห็นหรือได้ยินสิ่งที่น่ากลัว ไม่พึงหวั่นไหวดังนี้.
บทว่า เอเกนากาเรน คือ ด้วยเหตุอย่างเดียวกัน บทว่า ภยมฺปิ
เภรวมฺปิ ตญฺเญว
ภัยก็ดี ความขลาดกลัวก็ดีนั้นแล คือภัยก็ดีความขลาด-
กลัวก็ดี ทั้งเล็กทั้งใหญ่ ก็เป็นนิมิตแห่งความหวาดสะดุ้งเหมือนกัน. เพื่อ
แสดงความนั้น ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า วุตฺตญฺเหตํ สมจริงดังที่พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสไว้. บทว่า ภยํ คือ ภัยเกิดขึ้นเพราะความขลาดกลัวเป็น-
เหตุ. บทว่า ภยานกํ แสดงถึงอาการ คือกิริยาที่กลัว. บทว่า ฉมฺภิตตฺตํ
ความหวาดหวั่น คือมีกายหวั่นไหวด้วยอำนาจความกลัว. บทว่า โลมหํโส
ความเป็นผู้มีขนลุก คือขนลุกชัน. พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นแสดงภัยโดย
กิจด้วยบททั้งสองนี้แล้ว ทรงแสดงโดยสภาวะอีกว่า ความหวาดเสียว ความ
สะดุ้งแห่งจิต. บทว่า อุพฺเพโค ความหวาดเสียว คือความขลาด. บทว่า
อุตฺราโส ความสะดุ้ง คือความกำเริบแห่งจิต. บทว่า ชาติภยํ ภัยแต่
ชาติ คือภัยเกิดขึ้นเพราะอาศัยชาติ. แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
ภัยเกิดแด่พระราชา ชื่อ ราชภัย. แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า อตฺตานุวาทภยํ ภัยแต่การติเตียนตน คือภัยเกิดแต่การติเตียนตน
ผู้ทำกรรมชั่ว. บทว่า ปรานุวาทภยํ คือ ภัยเกิดแต่การติเตียนของผู้อื่น.
บทว่า ทณฺฑภยํ ภัยแต่อาชญา คือภัยเกิดขึ้นเพราะอาศัยพระราช-
อาชญาหรือโทษทางวินัยของนักบวช. บทว่า ทุคฺคติภยํ ภัยแต่ทุคติ คือภัย

เกิดขึ้นเพราะอาศัยอบาย 4. บทว่า อูมิภยํ ภัยแต่คลื่น คือภัยเกิดแก่
ผู้ลงน้ำในมหาสมุทร. นัยว่า ในมหาสมุทรมีคลื่นชื่อมหินทะผุดพลุ่งขึ้น
ประมาณ 50 โยชน์ คลื่นซึ่งว่าโรหิณี ผุดพลุ่งขึ้นประมาณ 40 โยชน์
ภัยเกิดเพราะอาศัยคลื่นชื่อว่า อูมิภัย. ภัยเกิดจากจระเข้ ชื่อว่า กุมภีลภัย
ภัยแต่จระเข้. ภัยแต่วังวน ชื่อว่า อาวัฏฏภัย. ปลาดุเรียกว่า สุํสุกา
ภัยแต่ปลาดุนั้น ชื่อว่า สุงสุกาภัย. บทว่า อาชีวกภยํ ภัยแต่การเลี้ยงชีพ
ชื่อว่า อาชีวกภัย. บทว่า อสิโลกภยํ คือ ภัยแต่ความติเตียน.
บทว่า ลทฺธา น สนฺธึ กยิรา ได้แล้วไม่ควรทำการสะสม คือได้
อย่างใดอย่างหนึ่งบรรดาข้าวเป็นต้นเหล่านั้นแล้ว ไม่ควรคิดว่า อันภิกษุ
ผู้อยู่ในป่าหาได้ยากแล้วทำการสะสม. บทว่า โอทโน ได้แก่ ข้าวสุกเกิด
จากข้าวสารของข้าวเปลือก และอนุโลมด้วยข้าวเปลือก 7 อย่าง คือข้าว
สาลี 1 ข้าวเปลือก 1 ข้าวเหนียว 1 ข้าวละมาน 1 ข้าวฟ่าง 1 ลูกเดือย 1
หญ้ากับแก้ 1. บทว่า กุมฺมาโส ขนมกุมมาส คือเกิดจากข้าวเหนียว.
บทว่า สตฺตุ ข้าวสัตตู คือข้าวสัตตุทำด้วยข้าวสาลีเป็นต้น . สัตว์เกิดใน
น้ำ ชื่อว่าปลา. เนื้อความชัดอยู่แล้ว. บทว่า อมฺพปานํ น้ำผลมะม่วง
ได้แก่น้ำที่ทำด้วยผลมะม่วงดิบหรือสุก. เมื่อจะทำด้วยผลดิบ ควรผ่าผล
มะม่วงอ่อนแล้วแช่น้ำผึ่งแดด กรองผสมกับน้ำผึ้ง น้ำตาลกรวดและ
การบูรเป็นต้นทำปานะ. บทว่า ชมฺพุปานํ คือ น้ำทำด้วยผลหว้า. บทว่า
โจจปานํ คือ น้ำทำด้วยผลกล้วยมีเมล็ด. บทว่า โมจปานํ คือ น้ำทำด้วย
ผลกล้วยไม่มีเมล็ด. บทว่า มธุกปานํ น้ำผลมะซาง คือน้ำทำด้วยรสชาติ
แห่งผลมะซาง. อนึ่ง น้ำผลมะซางนั้นควรผสมน้ำ ล้วน ๆ ไม่ควร.
บทว่า มุทฺทิกปานํ น้ำผลจันทน์ คือน้ำที่ขยำผลจันทน์ลงในน้ำ แล้ว

ทำเหมือนน้ำผลมะม่วง. บทว่า สาลุภปานํ น้ำรากบัว คือน้ำที่ทำขยำ
รากบัวของบัวแดงและบัวเขียวเป็นต้น. บทว่า ผารุสกปานํ น้ำผลลิ้นจี่
คือน้ำที่ทำด้วยผลลิ้นจี่ดุจน้ำผลมะม่วง. บทว่า โกสมฺพปานํ คือ น้ำทำ
ด้วยผลสะคร้อ. บทว่า โกลปานํ คือ น้ำทำด้วยผลกระเบา. บทว่า
พทรปานํ น้ำผลพุทรา คือนำทำด้วยผลพุทราลูกใหญ่ เหมือนน้ำผล
มะม่วง. ปานะ 11 อย่างเหล่านี้ เย็นบ้าง สุกด้วยแสงอาทิตย์บ้างก็ควร.
บทว่า ฆฏปานํ ปานะที่ทำด้วยเปรียง ได้แก่ น้ำเนยใส. บทว่า เตลปานํ
น้ำมัน ได้แก่ น้ำมันงาเป็นต้น. บทว่า ปโยปานํ ได้แก่ น้ำนม.
บทว่า ยาคุปานํ น้ำข้าวยาคู คือนำข้าวยาตูมีรสเปรี้ยวเป็นต้น. บทว่า
รสปานํ คือ ปานะที่ทำด้วยรสมีรสผักเป็นต้น. บทว่า ปิฏฺฐขชฺชกํ ของ
ควรเคี้ยวทำด้วยแป้ง คือของควรเคี้ยวทำด้วยแป้งมีอาทิอย่างนี้ คือแป้ง
ขนุน แป้งขนุนสำมะลอ แป้งมะกอก แป้งเมล็ดผักกาดและแป้งเถาน้ำนม.
ปูวขัชชกะ แม้ของควรเคี้ยวที่ทำเป็นขนม ก็ทำด้วยแป้งเหล่านี้เหมือน
หัน. บทว่า มูลขชฺชกํ ของควรเคี้ยวทำด้วยเหง้าไม้ มีอาทิอย่างนี้คือ
เหง้าเผือก เหง้าไม้ช้างน้าว เหง้ามัน. บทว่า ตจขชฺชกํ ของควรเคี้ยว
ทำด้วยเปลือกไม้ มีเปลือกอ้อยเป็นต้น. บทว่า ปตฺตขชฺชกํ ของควร
เคี้ยวทำด้วยใบไม้ มีใบสะเดา ใบมวกเหล็ก ใบกระดอม และใบอัญชัน
เขียวเป็นต้น. บทว่า ปุปฺผขชฺชกํ ของเคี้ยวทำด้วยดอกไม้ มีดอกเผือก
ดอกไม้ช้างน้าว กุ่มขาว มะรุม อุบลและปทุมเป็นต้น. บทว่า ผลขชฺชกํ
ของเคี้ยวทำด้วยผลไม้มีขนุน ขนุนสำมะลอ มะพร้าว มะกอก มะขาม
มะงั่ว มะขวิด น้ำเต้า ฟักผลขาว มะพลับ แตงกวา มะเขือ กล้วยมี
เมล็ด กล้วยไม่มีเมล็ด เป็นต้น.

บทว่า น กุหนาย มิใช่ได้ด้วยความโกหก คือมิใช่ได้ด้วยความ
พิศวง. บทว่า น ลปนาย ไม่ใช่ได้ด้วยความพูดเลียบเคียงเพื่อปัจจัย
คือมิใช่เห็นพวกมนุษย์มาวิหารแล้วพูดเลียบเคียงอย่างนี้ว่า พวกท่านมา
เพื่ออะไร มาเพื่อนิมนต์ภิกษุหรือ ผิว่าอย่างนั้นพวกท่านกลับไปก่อน
อาตมาจะตามไปทีหลัง. อีกอย่างหนึ่งมิใช่จะแน่ะนำตน แล้วพูดเลียบเคียง
อย่างนี้ว่า อาตมาชื่อติสสะ พระราชาทรงเลื่อมใสในอาตมา มหาอำมาตย์
ของพระราชาชื่อโน้น ๆ ก็เลื่อมใสในอาตมา ดังนี้. บทว่า น เนมิตฺติ-
กตาย
คือมิใช่ได้ด้วยทำนิมิตทางกายและวาจาอย่างใดอย่างหนึ่งแก่คนอื่น
ให้เกิดความรู้สึกจะถวายปัจจัย. บทว่า น นิปฺเปสิกตาย มิใช่ได้ด้วยกำจัด
คุณเขา คือแสดงกิริยามีการด่าผู้อื่นเป็นต้น ชื่อว่ากำจัดครอบงำคุณของ
ผู้อื่นอย่างไม่มีดี ดุจไม้ไผ่ชิ้นเล็กๆ. อีกอย่างหนึ่ง เพราะการบดขยี้คุณของ
ผู้อื่นให้แหลกรานแล้วแสวงหาลาภ ดุจบดคันธชาตแล้วหากลิ่นหอมฉะนั้น
ดังนั้นท่านจึงเรียกว่า นิปฺเปสิกตา กำจัดคุณเขา. มิใช่ได้ด้วยกำจัดคุณเขา
เห็นปานฉะนี้. บทว่า นิชิคึสนตา ในบทว่า น ลาเภน ลาภํ นิชิคุสนตาย
มิใช่ได้ด้วยแสวงหาลาภด้วยลาภนี้ คือการแสวงหา. การแสวงหาลาภด้วย
ด้วยการนำลาภที่ได้แล้วจากที่อื่นไปแลกเปลี่ยนในที่อื่น. มิใช่ได้ด้วยการ
แสวงหาลาภด้วยลาภเห็นปานฉะนี้. บทว่า น ทารุทาเนน มิใช่ได้ด้วยการ
ให้ไม้จริง คือมิใช่ได้ด้วยการให้ไม้จริงอันเป็นเหตุเป็นปัจจัย. จริงอยู่ ไม่
ควรให้ไม้จริงที่ขึ้นในวิหาร หรือที่นำมาจากที่อื่นแล้วรักษาคุ้มครองไว้
แก่อุปัฏฐากทั้งหลายด้วยคิดว่า อุปัฏฐากเหล่านั้นจักให้ปัจจัยแก่เราด้วย
อาการอย่างนี้. เพราะเมื่อภิกษุสำเร็จชีวิตอยู่อย่างนี้ ชื่อว่าเป็นอยู่โดยมิจฉา-
ชีพ การแสวงหาที่ไม่สมควร. ภิกษุนั้นย่อมได้รับความติเตียนในปัจจุบัน

และจะต้องจมอยู่ในอบายในภพหน้า. ภิกษุให้ไม้จริงอันเป็นส่วนของตน
เพื่อสงเคราะห์ตระกูล ย่อมต้องอาบัติทุกกฏ ชื่อว่า กุลทูสกะ ให้ของ
คนอื่นด้วยไถยจิตถูกปรับเป็นภัณฑไทย. แม้ในของสงฆ์ก็มีนัยนี้เหมือนกัน
แต่ถ้าให้ของนั้นเพราะคนเป็นผู้มีอำนาจ ย่อมต้องอาบัติข้อสละครุภัณฑ์.
ก็ไม้จริงอย่างไหนเป็นครุภัณฑ์ อย่างไหนไม่เป็นครุภัณฑ์. ไม้ที่ไม่ได้
ปลูกไว้ก่อน เกิดเองในที่ที่สงฆ์กำหนดเขตไว้นั้นแลเป็นครุภัณฑ์. นอก
จากนั้นไม่เป็นครุภัณฑ์. ไม้ในที่ที่ปลูกไว้ก็เป็นครุภัณฑ์ทั้งหมด. ไม้มี
ประมาณเท่าเล่นเข็มโดยประมาณก็เป็นครุภัณฑ์.
แม้ในบททั้งหลายมีอาทิว่า น เวฬุทาเนน มิใช่ได้ด้วยให้ไม้ไผ่
พึงทราบบททั้งปวงมีอาทิว่า ไม่ใช่ได้ด้วยการให้ไม้ไผ่อันเป็นเหตุเป็น
ปัจจัยโดยนัยที่กล่าวแล้ว ในบทนี้ว่า น ทารุทาเนน ดังนี้. อนึ่ง ไม้ไผ่
มีประมาณเท่าหลอดน้ำมันโดยประมาณเป็นครุภัณฑ์ ต่ำกว่านั้นไม่เป็น
มนุษย์ทั้งหลายไปวิหารขอไม้ไผ่. ภิกษุให้ไม่ได้เพราะเป็นของสงฆ์. มนุษย์
ทั้งหลายอ้อนวอนหรือแค่นไค้บ่อยๆ ภิกษุทั้งหลายควรพูดว่า พวกท่าน
ทำทัณฑกรรมแล้วถือเอาเถิด. ไม่มีการให้ไม้ไผ่. หากมนุษย์ทั้งหลาย
เหล่านั้นถวายมีดและขวานเป็นต้น หรือของเคี้ยวของฉันก็ไม่ควรรับ . แต่
ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาวินัยว่า มนุษย์ถูกไฟเผาเรือน ถือเอาไปไม่ควร
ห้าม หากจอมปลวกเกิดที่กอไผ่ของสงฆ์ เมื่อไม่ทำลายจอมปลวกนั้น ไม้
ไผ่จะเสียหาย ควรทำอย่างไร. ควรบอกพวกมนุษย์ในเวลาออกบิณฑบาต.
หากพวกมนุษย์ไม่ปรารถนาจะทำลาย ควรกล่าวว่า พวกท่านจักทำให้
พื้นเสมอกันได้ไหม. พวกมนุษย์ก็ไม่ปรารถนาอยู่นั่นเอง ควรบอกว่า
พวกท่านจักได้สองส่วน. แม้อย่างนี้พวกมนุษย์ก็ยังไม่ปรารถนาอยู่อีก

ควรกล่าวว่า ไม่มีประโยชน์ที่ทำให้เสียหาย เมื่อพวกท่านมีเวลาพวกท่าน
จักทำฑัณฑกรรม ทำลายแล้วเอาไปเถิด. ไม่มีการให้ไม้ไผ่. แม้เมื่อกอไผ่
ถูกไฟไหม้ แม้ไม้ไผ่ที่ลอยน้ำมาก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
พึงทราบวินิจฉัยนี้ในการให้ใบไม้ เพราะเป็นครุภัณฑ์ต่อไป.
ก็ในที่ใดเขาขายใบไม้กัน ผู้ต้องการกลิ่นเอาไปเพื่ออบกลิ่นเป็นต้น
ในที่ที่หายากเช่นนั้น ใบไม้ก็เป็นครุภัณฑ์. พึงทราบวินิจฉัยในใบทอง-
กวาวและใบตาลใช้เป็นเครื่องประดับหูเป็นต้นก่อน. แม้ใบตาลก็ควร
กล่าวไว้ในที่นี้เหมือนกัน. เพราะใบตาลในป่าตาลที่เกิดขึ้นเอง ก็เป็น
ครุภัณฑ์ในที่ที่สงฆ์กำหนดเขตไว้เหมือนกัน. ออกจากนั้นไม่เป็น. ใบ
ตาลที่ปลูกแม้ทั้งหมดก็เป็นครุภัณฑ์. ใบลานเปล่าแม้ประมาณ 8 องคุลี
ในที่สุดเบื้องต่ำ ก็เป็นประมาณของครุภัณฑ์นั้น. แม้หญ้าก็ควรนำมา
กล่าวไว้ในที่นี้เหมือนกัน ก็ในที่ใดไม่มีหญ้า มนุษย์ทั้งหลายก็เอาฟาง
ใบมะพร้าวปกคลุมในที่นั้น. เพราะฉะนั้น แม้ฟางและใบมะพร้าวเหล่านั้น
ก็สงเคราะห์เข้าด้วยหญ้าได้เหมือนกัน. ด้วยเหตุนี้ บรรดาหญ้าปล้อง
ฟางเป็นต้น หญ้าอย่างใดอย่างหนึ่งประมาณกำมือหนึ่ง และบรรดาใบ
มะพร้าวเป็นต้น แม้ใบเดียวที่เขาถวายแก่สงฆ์ก็ดี เกิดเองในที่นั้นก็ดี
หญ้าที่เกิดในพื้นที่ของสงฆ์นอกวัด หญ้าที่สงฆ์รักษาคุ้มครองไว้แล้วก็ดี
ย่อมเป็นครุภัณฑ์. อนึ่ง เมื่อสงฆ์จะทำสังฆกรรมและเจติยกรรม ควรให้
ครุภัณฑ์นั้นในบุคลิกกรรม (ส่วนบุคคล) ดีกว่า. แม้ในไม้จริงและไม้ไผ่
ที่ท่านกล่าวไว้แล้วในหนหลังก็มีนัยเหมือนกัน.
พึงทราบวินิจฉัยในการให้ดอกไม้ดังต่อไปนี้.

ดอกไม้ที่กำหนดไว้อย่างนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย จงสละดอกไม้ใน
ต้นไม้ประมาณเท่านี้ แล้วนำเข้าไปเพื่อข้าวยาคูและภัตร ในต้นไม้ประ-
มาณเท่านี้จงนำเข้าไปในการปฏิสังขรณ์เสนาสนะดังนี้ ย่อมเป็นครุภัณฑ์.
ผิว่า สามเณรทั้งหลายเก็บดอกไม้แล้วทำให้เป็นกองไว้ ภิกษุผู้แบ่งดอกไม้
ประกอบด้วยองค์ 5 นับสงฆ์แล้วทำให้เป็นส่วน ๆ ภิกษุนั้นย่อมได้
เพื่อที่จะไม่ต้องบอกสงฆ์ในที่ประชุมแล้วให้. ส่วนภิกษุที่ยังไม้ได้รับ
สมมติ ควรบอกก่อนแล้วจึงให้. ก็ภิกษุย่อมได้เพื่อจะให้ดอกไม่แก่ใคร
ไม่ได้เพื่อจะให้แก่ใคร. ภิกษุแม้ไปเรือนมารดาบิดา เรียกมารดาบิดา
ออกจากเรือนแล้วกล่าวว่า โยมจงเอาไปบูชาพระ ดังนี้ ย่อมได้เพื่อจะให้
ย่อมไม่ได้ เพื่อเอาไปประดับศิวลึงค์ อนึ่ง ไม่ควรนำไปใหญ่ญาติที่เหลือ
ควรเรียกมาแล้วจึงให้เพื่อเอาไปบูชาพระ. เมื่อชนที่เหลือไปพร้อมกันยังที่
บูชา คนที่ไม่หวังจะได้ก็ควรให้. ไม่มีการให้ดอกไม้. ดอกไม้ในวิหาร
บานมาก. ภิกษุผู้ไปเที่ยวบิณฑบาตเห็นมนุษย์ทั้งหลายพึงกล่าวว่า พวก
ท่านจงบูชาดอกไม้เป็นอันมากในวิหารเถิด. เพียงพูดไม่มีโทษ. แต่ไม่
ควรพูดด้วยคิดว่า พวกมนุษย์จักถือเอาของเคี้ยวของบริโภคมาถวาย. หาก
ภิกษุพูด ไม่ควรฉันของเคี้ยวของฉัน. พวกมนุษย์ถามว่า ดอกไม้ในวิหาร
ยังมีตามธรรมดาหรือ แล้วกล่าวว่า ในวันโน้นพวกข้าพเจ้าจักมาวิหาร
พระคุณเจ้าทั้งหลายอย่าให้สามเณรเก็บดอกไม้เลย. ภิกษุลืมบอกสามเณร.
สามเณรพากันเก็บดอกไม้. พวกมนุษย์เข้าไปหาภิกษุกล่าวว่า ในวันโน้น
พวกข้าพเจ้าได้เรียนพระคุณเจ้าทั้งหลายว่า อย่าให้สามเณรเก็บดอกไม้
ทำไมพระคุณเจ้าไม่ห้ามเหล่า. ควรกล่าวว่า อาตมาลืมไป ดอกไม้เพียง

เก็บเท่านั้น ยังไม่ได้ทำการบูชาเลย. ไม่ควรกล่าวว่า พวกท่านเอาไป
บูชากันเถิด หากภิกษุพูด ไม่ควรฉันอาหาร. ภิกษุอีกรูปหนึ่งบอกแก
สามเณรทั้งหลายว่า ชาวบ้านโน้นพูดว่า อย่าเก็บดอกไม้ แม้มนุษย์
ทั้งหลายก็นำอาหารมาถวายท่านแล้วกล่าวว่า พวกมนุษย์ของพวกกระผม
ไม่มาก ขอพระคุณเจ้าโปรดสั่งให้สามเณรทั้งหลายเก็บดอกไม้กับพวก
กระผมเถิด, ควรกล่าวว่า อุบาสก พวกสามเณรได้ภิกษาแล้ว พวกที่
ไม่ไปบิณฑบาตอุบาสกจักรู้ด้วยตนเอง ดังนี้. ได้นัยเพียงเท่านี้ แล้วทำ
สามเณรผู้เป็นบุตรหรือเป็นพี่น้องชายให้เก็บดอกไม้ ไม่มีโทษ. ไม่มีการ
ให้ดอกไม้.
พึงทราบวินิจฉัยการให้ผลไม้ดังนี้. แม้ผลไม้ที่กำหนดไว้เหมือน
ดอกไม้ ก็เป็นครุภัณฑ์. เมื่อมีผลาผลมากในวิหาร พวกมนุษย์ไม่มีความ
สบายพากันมาขอ ภิกษุให้ไม่ได้เพราะเป็นของสงฆ์ พวกมนุษย์เดือดร้อน
พากันแช่งด่า ควรทำอย่างไรในเรื่องนั้น. ควรกำหนดผลไม้หรือต้นไม้
แล้วทำกติกาว่า ในต้นไม้ต้นโน้น ๆ ถือเอาผลไม้ได้ประมาณเท่านี้ หรือ
ในต้นไม้ประมาณเท่านี้ถือเอาผลไม้ได้ไม่ควรห้าม. พวกโจรหรืออิสรชน
ถือเอาด้วยพลการไม่ควรห้าม. เพราะพวกนั้นโกรธ แม้วิหารทั้งสิ้นก็จะ
เสียหาย. แต่ควรกล่าวถึงความผิด.
พึงทราบวินิจฉัยในการให้เครื่องอาบน้ำดังต่อไปนี้. จุณที่ใช้อาบน้ำ
บดแล้วไม่เป็นครุภัณฑ์. เปลือกไม้ที่อยู่ในต้นไม้เป็นครุภัณฑ์. แต่จุณ
สำหรับใช้ย้อมควรแก่ภิกษุไม่เป็นไข้. จุณอย่างใดอย่างหนึ่งย่อมควรแก่
ภิกษุไข้ทั้งนั้น. มิใช่ได้ด้วยการให้จุณไม้ซึกเป็นต้น มีนัยดังกล่าวแล้วใน
บทว่า น จุณฺณทาเนน มิใช่ได้ด้วยการให้จุณ.

พึงทราบวินิจฉัยการให้ดินเหนียวดังนี้. ก็ในที่ใดหาดินเหนียว
ได้ยาก ดินเหนียวในที่นั้นแลเป็นครุภัณฑ์. แม้ดินเหนียวนั้นอย่างต่ำที่สุด
มีประมาณเท่าลูกตาลและงบน้ำอ้อย ต่ำกว่านั้นไม่เป็นครุภัณฑ์
พึงทราบวินิจฉัยในการให้ไม้สีฟันดังนี้. ไม้สีฟันที่ยังไม่ได้ตัดเป็น
ครุภัณฑ์. สามเณรเหล่าใดถึงวาระที่จะได้ไม้สีฟันจากสงฆ์ สามเณรเหล่านั้น
จะให้แก่อาจารย์และอุปัชฌาย์ของตนเฉพาะตัวไม่ได้. อนึ่ง สามเณรเหล่า
ใดกำหนดไว้ว่า พึงนำไม้สีฟันมาประมาณเท่านี้ดังนี้ แล้วถือเอาตามวาระ
สามเณรเหล่านั้นจะให้ไม้สีฟันยิ่งกว่านั้นแก่อาจารย์และอุปัชฌาย์ได้. ภิกษุ
รูปเดียวไม่ควรถือเอาไม้สีฟันมาจากต้นไม้ที่ใช้เป็นไม้สีฟัน ควรถือเอาอัน
เดียวเท่านั้นทุก ๆ วัน. แม้ภิกษุอยู่รูปเดียวนับภิกษุสงฆ์แล้วควรถือเอาไม้
สีฟันเท่าที่ถึงแก่ตนเท่านั้น. เมื่อภิกษุทั้งหลายกำลังมาในระหว่างหรือมา
แล้ว ควรหลีกไปสู่ทิศ นำไม้สีฟันมาเก็บไว้ในที่ที่ตนเอาไป. บทว่า
น มุโขทกทาเนน คือ มิใช่ได้ด้วยการให้น้ำล้างหน้า.
ท่านกล่าว จาฏุกมฺยตา ในบทว่า น จาฏุกมฺยตาย มิใช่ได้ด้วย
คำพูดมุ่งให้เขารักตนเป็นต้น คือวางคนไว้ในที่ต่ำดุจเป็นทาส แล้วอ้าง
คำพูดที่ได้พูดพลาดพลั้งแก่คนอื่น กล่าวยกย่องมุ่งให้เขารักคน บทว่า
มุคฺคสูปตาย คือ ด้วยถ้อยคำที่เหลาะแหละ. บทว่า มุคฺคสูปตา นี้ เป็นชื่อ
ของการสำเร็จชีวิตอยู่ได้ด้วยคำพูดเหลาะแหละ. ในบุคคลผู้สำเร็จชีวิตอยู่
ได้ด้วยคำพูดเหลาะแหละ. มีคำพูดเหลาะแหละมาก มีคำพูดจริงน้อย
เหมือนเช่นการต้มแกงถั่ว ถั่วเขียวส่วนมากสุก ส่วนน้อยไม้สุกฉะนั้น.
หรือคนผู้มีปกติพูดถ้อยคำเหลาะแหละ ย่อมไม่มั่นคง เหมือนที่น้ำไม่เข้าสู่

ภายในของแกงถั่วฉะนั้น. คนพูดถ้อยคำเหลาะแหละ ย่อมตั้งอยู่ในสาย
ทางที่ตนปรารถนาแล้ว เหมือนทางสี่แพร่งฉะนั้น. ด้วยเหตุนั้น ความที่
บุคคลนั้นพูดเท็จ ท่านจึงเรียกว่า มุคฺคสูปตา ความเป็นผู้มีถ้อยคำเหลาะ-
แหละ เหมือนแกงถั่ว. บทว่า น ปาริภฏฺยตาย มิใช่ได้ด้วยกิริยาประจบเขา
คือมิใช่ได้ด้วยความเป็นบ่าว. การงานของบ่าว ชื่อว่า ปาริภัฏยะ ความ
เป็นผู้ทำการงานเป็นบ่าว ชื่อว่า ปาริภัฏยตา. บทนี้เป็นชื่อของการทำของ
เล่นให้เด็ก ด้วยการทำเครื่องประดับเป็นต้น . บทว่า น ปีฐมทฺทิกตาย
มิใช่ได้ด้วยความเป็นผู้นั่งบนตั่ง (ความตีสนิทเขา) คือไม่ใช่ได้ด้วยความ
เป็นผู้รีบร้อนเข้าไปเรือนแล้วนั่งบนตั่ง.
พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า น วตฺถุวิชฺชาย มิใช่ได้ด้วยวิชา
ดูพื้นที่ดังนี้ ตำรารู้ถึงหลักฐานมั่นคงไม่มั่นคง ของชาวบ้าน ชาวนิคม
และชาวเมืองเป็นต้น ชื่อว่า วัตถุวิชชา. วิชาที่เหลือมีศาสตร์ว่าด้วยลักษณะ
และตำราทำนายฝันเป็นต้น อันปิดกั้นทางสวรรค์และทางไปสู่ความหลุด
พ้น เพราะไม่นำสัตว์ออกไปจากทุกข์ได้ ชื่อว่า ติรัจฉานวิชชา. การรู้
ลักษณะความมีบุญไม่มีบุญของหญิงและชาย ชื่อว่า อังควิชชา. ตำรารู้
การประกอบของนักษัตรทั้งหลาย ชื่อว่า นักขัตตวิชชา วิชาดูฤกษ์.
บทว่า น ทูตคมเนน คือ มิใช่ได้ด้วยการเดินเป็นทูต. บทว่า
น ปหิณคมเนน มิใช่ได้ด้วยความเป็นคนรับใช้ คือมิใช่ด้วยการรับสาสน์
ของคฤหัสถ์แล้วออกจากเรือนไปส่งถึงเรือน. บทว่า น ชงฺฆเปสนีเยน
มิใช่ได้ด้วยความเป็นผู้เดินสาสน์ คือมิใช่ได้ด้วยการนำสาสน์และตอบ
สาสน์ของคฤหัสถ์เหล่านั้น ๆ ในละแวกบ้านหรือในละแวกท้องถิ่นเป็นต้น.

ชื่อว่า ความเป็นผู้เดินสาสน์นี้ สมควรด้วยการรับสาสน์ของผู้ที่บำรุงมารดา
บิดาของภิกษุนั้น แล้วไปส่งให้แก่มารดาบิดาของตน. การนำสาสน์ของ
ช่างไม้ผู้กระทำการงานแก่เจดีย์ก็ดี แก่สงฆ์ก็ดี แก่ตนก็ดี ควร. มนุษย์
ทั้งหลายกล่าวว่า ข้าพเจ้าจักให้ทาน ข้าพเจ้าจักทำการบูชา ขอพระคุณ
เจ้าจงแจ้งแก่ภิกษุสงฆ์ ดังนี้. ถวายบิณฑบาต ยา หรือจีวรโดยกล่าวว่า
พระคุณเจ้าจงถวายแก่ภิกษุรูปโน้น มอบดอกไม้ของหอม เครื่องลูบไล้
เป็นต้น หรือธงชัยธงแผ่นผ้าเป็นต้นให้ โดยกล่าวว่า พระคุณเจ้าจงทำ
การบูชา ดังนี้. นำไปทั้งหมดควร. ไม่มีการเดินสาสน์. เมื่อภิกษุถือ
สาสน์นอกเหนือไปจากนี้ เป็นอาบัติทุกกฏ ทุก ๆ ก้าว.
บทว่า น เวชฺชกมฺเมน มิใช่ได้ด้วยเวชกรรม คือมิใช่ได้ด้วยเป็น
แพทย์ปรุงยามียารักษาร่างกายเป็นต้น. แต่ควรปรุงยาแก่สหธรรมิกทั้ง 5
คือ ภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี. เพราะจะไม่ปรุงยา
แก่สหธรรมิกเหล่านั้น ผู้มีศีลศรัทธาและปัญญาเสมอกัน ผู้ประกอบแล้ว
ในไตรสิกขาไม่ได้. จะปรุงยาแม้แก่คนทั้ง 5 เหล่านี้ คือมารดาบิดา
ผู้บำรุงมารดาบิดา ตนเอง ไวยาจักร ผู้เป็นโรคผอมเหลือง ก็ควร.
อันภิกษุผู้จะปรุงยาให้แก่คน 10 จำพวก แม้เหล่านี้ คือ พี่ชาย น้องชาย
พี่สาว น้องสาว น้าสาว ป้า อา ลุง อาน้องสาวของพ่อ น้า ควร
ถือเอาเภสัชอันเป็นของชนเหล่านั้นปรุงให้อย่างเดียว. หากไม่พอ ควรให้
ตาวกาลิก (ของบริโภคชั่วคราวตั้งแต่เช้าถึงเที่ยง) อันเป็นของตน. เมื่อ
ภิกษุให้นำปัจจัย 4 มา ให้แก่ชนเหล่านั้น สืบมาตั้งแต่บุตรจนถึง 7 ชั่ว
ตระกูล ชื่อว่า ไม่ทำวิญญัติ (พูดแกมขอ) เมื่อภิกษุปรุงยาให้แก่คน

เหล่านั้นก็ไม่เป็นเวชกรรม หรือไม่เป็นอาบัติเพราะทำลายตระกูล
(กูลทุสกะ). บทว่า น ปิณฑปฏิปิณฺฑเกน มิใช่ได้ด้วยการให้ก้อนข้าว
ตอบแทน. ก้อนข้าวในบทนี้ ควรให้แก่ใคร ไม่ควรให้แก่ใคร. ควรให้แก่
มารดาบิดา ผู้บำรุงมารดาบิดา ไวยาวัจกร คนเป็นโรคผอมเหลือง
โจรทามริกะมาประจันหน้า (โจรขบถ) แม้แก่อิสรชน. แม้ให้แก่ชนเหล่านี้
แล้วกลับได้ในภายหลัง ก็ไม่เป็น ปิณฺฑปฏิปิณฺฑํ ให้ก้อนข้าวตอบแทน.
บทว่า น ทานานุปฺปทาเนน มิใช่ได้ด้วยการให้และการเพิ่มให้ คือมิใช่ได้
ด้วยการให้ตอบแก่คนที่ให้แก่ตน. บทว่า ธมฺเมน คือ เกิดขึ้นโดยธรรม.
บทว่า สเมน โดยเสมอ คือโดยกายสุจริตเป็นต้น. บทว่า ลทฺธา ได้
แล้ว คือได้แล้วทางกาย. บทว่า ลภิตฺวา รับแล้ว คือถึงแล้วทางใจ.
บทว่า อธิคนฺตฺวา ได้มาแล้ว คือถึงพร้อมแล้ว. บทว่า วินฺทิตฺวา
ประสบแล้ว คือประสบแล้วด้วยญาณ. บทว่า ปฏิลภิตฺวา ได้เฉพาะแล้ว
คือได้บ่อย ๆ.
ในบทว่า อนฺนสนฺนิธึ การสะสมข้าวนี้ พึงทราบกถาสองอย่าง คือ
โดยทางวินัย และโดยทางขัดเกลากิเลส. พึงทราบโดยทางวินัยก่อน ข้าว
อย่างใดอย่างหนึ่งที่ได้รับในวันนี้ ทำการสะสมไว้ในวันอื่นอีก ต้องอาบัติ
ปาจิตตีย์ในเพราะฉันข้าวนั้น. แต่ให้ข้าวที่ตนได้แก่สามเณรทั้งหลาย แล้ว
เก็บข้าวที่สามเณรเหล่านั้นได้ไว้ฉันในวันที่สอง ควร, แต่ไม่เป็นการขัด
เกลากิเลส. แม้ในการสะสมน้ำดื่มก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ชื่อว่า ปานะ ใน
บทนี้ ปานะ 8 อย่างมีปานะทำด้วยผลมะม่วงเป็นต้น อนุโลมเข้ากันได้
กัปปานะเหล่านี้.

พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า วตฺถสนฺนิธึ สะสมผ้า ดังนี้. ผ้า
ที่มิได้อธิษฐานและมิได้วิกัป จัดเป็นสันนิธิ คือการสะสม และยังสัลเลข-
ปฏิบัติให้กำเริบ. นี้พูดโดยนิปริยายไม่อ้อมค้อม. แต่โดยปริยายคืออ้อม-
ค้อม ภิกษุควรเป็นผู้สันโดษในไตรจีวร. ได้ผืนที่สี่มา ควรให้แก่ภิกษุรูป
อื่น. หากไม่สามารถจะให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งได้ ประสงค์จะให้แก่รูปใด
รูปนั้นไปเพื่อเรียนหรือเพื่อสอบถาม ควรให้ในทางที่ท่านกลับมา. ไม่ให้
ไม่ควร. อนึ่ง เมื่อจีวรไม่พอ เมื่อมีความหวัง ควรกำหนดเวลาที่อนุญาต
ไว้. เพราะไม่ได้ภิกษุผู้ทำจีวรโดยเย็บด้วยด้วยและเข็ม แม้ต่อจากนั้นก็ควร
ทำวินัยกรรมเก็บไว้. เมื่อจีวรเก่าจะเก็บไว้ด้วยคิดว่า เราจักได้จีวรเช่นนี้
แต่ไหนอีกเล่า ไม่ควร. เป็นทั้งสันนิธิ ทั้งยังสัลเลขปฏิบัติให้กำเริบ.
พึงทราบวินิจฉัยในการสะสมยานดังนี้. ชื่อว่า ยาน ได้แก่ ล้อ
เลื่อน รถ เกวียน ระแทะ วอ เก้าอี้. นั่นมิใช่ยานของบรรพชิต.
แต่รองเท้าเป็นยาน. รองเท้าสองคู่อย่างดีควรแก่ภิกษุรูปหนึ่ง คือคู่หนึ่ง
สำหรับไปป่า คู่หนึ่งสำหรับล้างเท้า, ได้คู่ที่สามควรให้แก่ภิกษุรูปอื่น.
เมื่อรองเท้าเก่าจะเก็บไว้ด้วยคิดว่า เราจักได้รองเท้าอื่นแต่ไหนอีก ไม่
ควร. เป็นทั้งสันนิธิและทั้งยังสัลเลขปฏิบัติให้กำเริบ.
พึงทราบวินิจฉัยในการสะสมที่นอนดังนี้. บทว่า สยนํ ที่นอน
คือเตียง. เตียงสองเตียงอย่างดี ย่อมควรแก่ภิกษุรูปหนึ่ง คือในห้องหนึ่ง
เตียง ในที่พักกลางวันหนึ่งเตียง. ได้เกินกว่านั้นควรให้แก่ภิกษุรูปอื่น
หรือแก่คณะ. ไม่ให้ ไม่ควร. เป็นทั้งสันนิธิ ทั้งยังสัลเลขปฏิบัติให้กำเริบ.
พึงทราบวินิจฉัยในการสะสมเครื่องหอมดังนี้. เมื่อมีอาพาธด้วย
โรคฝี หิด อันเป็นโทษแก่ผิวหนังเป็นต้น เครื่องหอมย่อมควรแก่ภิกษุ

เมื่อโรคสงบด้วยเครื่องหอมนั้น ควรให้แก่ภิกษุอาพาธรูปอื่น ๆ หรือนำ
ไปเจิมเรือนที่ประตู. จะเก็บไว้ด้วยคิดว่าเผื่อจะมีโรคอีก ดังนี้ไม่ควร.
เป็นทั้งคันธสันนิธิเป็นทั้งยังสัลเลขปฏิบัติให้กำเริบ.
พึงทราบบทว่า อามิสํ เป็นต้น นอกเหนือจากที่กล่าวแล้ว. เช่น
ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ให้นำ งา ข้าวสาร ถั่วเขียว ถั่วทอง มะพร้าว
เกลือ ปลา เนื้อแห้ง เนยใส น้ำมัน ภาชนะดิน เป็นต้น มาเก็บไว้
ด้วยคิดว่า ของเหล่านั้นจักมีประโยชน์ในกาลนั้น ๆ. ภิกษุนั้นในฤดูฝนให้
สามเณรต้มข้าวยาคูแต่เช้ามืดแล้วฉัน ส่งสามเณรไปสั่งว่า สามเณร การ
เข้าไปบ้านในขณะน้ำเฉอะแฉะลำบาก เธอจงไปยังตระกูลโน้นบอกว่า
เรามานั่งอยู่ในวิหารแล้ว เธอจงนำนมส้มเป็นต้นมาแต่ตระกูลโน้น ดังนี้.
เมื่อภิกษุทั้งหลายถามว่า ทำไมท่านไม่เข้าไปสู่บ้านเล่าขอรับ ภิกษุนั้น
ตอบว่า เดี๋ยวนี้บ้านนั้นเข้าไปลำบากซิคุณ. ภิกษุเหล่านั้น กล่าวว่า ไม่เป็น
ไรดอกขอรับ ท่านอยู่เถิด พวกผมจะหาภิกษามาเอง แล้วพากันไป.
ลำดับนั้นสามเณรนำนมส้มเป็นต้นมา นำเข้าไปถวายพร้อมทั้งภัตรและผัก.
เมื่อภิกษุฉันอาหารนั้นอยู่นั่นเอง พวกอุปัฏฐากก็ส่งภัตรไปถวาย. แต่นั้น
ภิกษุนั้นก็ฉันอย่างเอร็ดอร่อย. ต่อมาภิกษุทั้งหลายรับบิณฑบาตแล้วกลับ
มา. ภิกษุนั้นก็ยังฉันอย่างเอร็ดอร่อยจนล้นคอหอยนั่นเอง. แม้สี่เดือน
ล่วงไป. ภิกษุนี้ท่านเรียกว่ามีชีวิตอยู่อย่างกุฎุมพีโล้น มิใช่อยู่อย่างสมณะ.
ภิกษุเห็นปานนี้ชื่อว่า เป็นผู้สะสมอามิส. แต่ในที่อยู่ของภิกษุ การเก็บ
อามิสมีประมาณเท่านี้ คือข้าวสารทะนานหนึ่ง น้ำอ้อยงบหนึ่งก้อน เนยใส
ประมาณ 4 ส่วน ควร เพื่อประโยชน์แก่โจรที่มาถึงในเวลาอันไม่ควร.
เพราะโจรเหล่านั้นเมื่อไม่ได้ปฏิสันถารด้วยอามิส มันก็จะฆ่าเสีย. เพราะ-

ฉะนั้น หากไม่มีอามิสเท่านี้ก็ควรหามาเก็บไว้. อนึ่ง ในเวลาไม่สบาย
จะฉันอามิสที่เป็นกัปปิยะ. แม้ด้วยตนเองก็ควร. อนึ่ง แม้เก็บอามิสมาก
ไว้ในกัปปิยกุฏิก็ไม่เป็นสันนิธิ.
บทว่า ฌายี น ปาทโลลสฺส ความว่า ภิกษุพึงเป็นผู้มีฌาน และ
ไม่พึงเป็นผู้โลเลเพราะเท้า. บทว่า วิรเม กุกฺกุจฺจํ นปฺปมชฺเชยฺย พึง
เว้นขาดจากความคะนองไม่พึงประมาท คือพึงบรรเทาความคะนอง มี
คะนองมือเป็นต้น และไม่พึงประมาทในที่นี้ เพราะภิกษุเป็นผู้ที่เขาทำ
ความเคารพอยู่แล้ว.
บทว่า เอกตฺตมนุยุตฺโต คือ ขวนขวายในความเป็นผู้มีจิตมีอารมณ์
เป็นหนึ่ง. บทว่า สทตฺถครุโถ เป็นผู้หนักอยู่ในประโยชน์ของตน คือ
หนักในประโยชน์อันสูงสุด. ปาฐะว่า สกตฺถครุโก ก็มี แปลว่า หนักอยู่
ในประโยชน์ของตน. บทว่า ปฏิสลฺลานาราโม พึงเป็นผู้ชอบในความ
หลีกเร้น คือสถานที่ชอบใจ ชื่อว่า อาราม. ภิกษุรวบรวมจากอารมณ์
นั้น ๆ แล้วชอบใจในความหลีกเร้น มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ชื่อว่า
ปฏิสลฺลานาราโม. บทว่า อสฺส คือ พึงเป็น. ภิกษุยินดีแล้วใน
ความหลีกเร้นนั้น ชื่อว่า ปฏิสลฺลานรโต. ท่านแสดงถึงความเป็นผู้
บริบูรณ์ในศีลทั้งหลายด้วยบทเหล่านี้. ข้อนั้นเพราะเหตุไร. เพราะแม้
ภิกษุผู้มีศีลวิบัติ มีอารมณ์เป็นหนึ่งก็ยังไม่สำเร็จ. บทว่า อชฺฌตฺตํ
เจโตสมถมนุยุตฺโต
ขวนขวายในความสงบจิต ณ ภายใน คือขวนขวายใน
ความสงบจิตของตน. บทว่า อชฺฌตฺตํ ในภายในก็ดี อตฺตโน ของตนก็ดี
มีความอย่างเดียวกัน พยัญชนะเท่านั้นต่างกัน . บทว่า เจโตสมถํ นี้
เป็นทุติยาวิภัตติลงในอรรถแห่งสัตตมีวิภัตติ แปลว่า ในความสงบจิต.

สำเร็จรูปด้วยการประกอบด้วยอุปสัคนี้ว่า อนุ. บทว่า อนิรากตชฺฌาโน
ไม่เหินห่างจากฌาน คือไม่นำฌานออกไปภายนอก หรือไม่ยังฌานให้
เสื่อม. อนึ่ง พึงเห็นประโยคในบทมีอาทิว่า นี้ชื่อว่า มิใช่ไม่กระทำเพื่อ
ความนำออกและเพื่อความเสื่อม เป็นความพระพฤติสุภาพ เพราะไม่
หัวดื้อ. บทว่า วิปสฺสนาย สมนฺนาคโต ประกอบด้วยวิปัสสนา คือ
ประกอบด้วยอนุปัสสนา 7 อย่าง.
อนุปัสสนา 7 คืออนิจจานุปัสสนา พิจารณาเนือง ๆ ในความ
ไม่เที่ยง 1 ทุกขานุปัสสนา พิจารณาเนือง ๆ ในความเป็นทุกข์ 1
อนัตตานุปัสสนา พิจารณาเนือง ๆ ในความเป็นอนัตตา 1 นิพพิทานุ-
ปัสสนา พิจารณาเนือง ๆ ในความเบื่อหน่าย 1 วิราคานุปัสสนา
พิจารณาเนือง ๆ ในความคลายกำหนัด 1 นิโรธานุปัสสนา พิจารณา
เนือง ๆ ในความดับตัณหา1 ปฏินิสสัคคานุปัสสนา พิจารณาเนืองๆ ใน
ความสละคืน 1, วิปัสสนาเหล่านั้นพิสดารแล้วในวิสุทธิมรรค.
บทว่า พฺรูเหตา สุญฺญาคารานํ คือ เพิ่มพูนสุญญาคาร. ก็ในบทนี้
พึงทราบว่า ภิกษุเรียนกรรมฐานทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน
แล้ว เข้าไปนั่งยังสุญญาคารตลอดคืนและวัน ชื่อว่า เพิ่มพูนสุญญาคาร.
แม้บำเพ็ญอยู่ในปราสาท อันมีพื้นชั้นเดียวเป็นต้น ก็พึงเห็นว่าเพิ่มพูน
สุญญาคาร.
พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า สกฺกจฺจการี พึงเป็นผู้ทำโดยความเคารพ
ดังต่อไปนี้. พึงเป็นผู้ทำความเคารพ ด้วยทำความเคารพต่อบุคคลหรือ
ต่อไทยธรรม เพื่อบำเพ็ญกุศลธรรมมีทานเป็นต้น. บทว่า อสฺส คือ พึง
เป็น. ความเป็นผู้ทำเนือง ๆ ชื่อว่า สาตจฺจ ความทำติดต่อชื่อว่า สาตจฺจ-

การี เป็นผู้ทำเนือง ๆ. เพราะทำติดต่อไม่มีระหว่าง ชื่อว่า อฏิฐิตการี เป็น
ผู้ทำไม่หยุด. บุคคลใดให้ทาน ทำการบูชา ฟังธรรม หรือบำเพ็ญสมณ-
ธรรมวันหนึ่ง อีกนานจึงทำอีก ไม่เป็นไปติดต่อกัน บุคคลนั้นท่านเรียกว่า
ฐิตการี ทำแล้วหยุด เหมือนปูเดินไปได้หน่อยหนึ่ง หยุดหน่อยหนึ่ง
ไม่เดินต่อไปฉะนั้น. ส่วนบุคคลใดไม่ทำอย่างนั้น บุคคลนั้นชื่อว่า อฏฺฐิต-
การี
ทำไม่หยุด. บทว่า อโนลีนวุตฺติโก มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน
คือมีความประพฤติย่อหย่อนหามิได้ เพราะมีความแผ่ขยายออกไป อัน
ได้แก่ ทำติดต่อกันไป. บทว่า อนิกฺขิตฺตฉนฺโท ไม่ปลงฉันทะ คือชื่อว่า
ไม่ปลงฉันทะ เพราะความเป็นผู้ไม่ปลงฉันทะในการทำความเพียร เพื่อ
กุศลกิริยา. บทว่า อนิกฺขิตฺตธุโร ไม่ทอดธุระ คือไม่วางธุระในการทำ
ความเพียร อธิบายว่า ไม่มีใจท้อถอย. บทว่า อปฺปฏิวาณี คือ ความไม่
ถอยกลับ. บทว่า อธิฏฺฐานํ ความตั้งใจ คือมีความตั้งมั่นในการทำกุศล.
บทว่า อนุโยโค คือความประกอบเนือง ๆ. บทว่า อปฺปมาโท คือ
ความไม่อยู่ปราศจากสติ.
บทว่า ตนฺทึ มายํ หสึ ขิฑฺฑํ คือ ความเกียจคร้าน ความหลอก-
ลวง ความหัวเราะ และการเล่นทางกาย และวาจา. บทว่า สวิภูสํ คือ
กับด้วยเครื่องประดับ.
บทว่า รตฺตินฺทิวํ ฉโกฏฺฐาสํ กริตฺวา ภิกษุพึงแบ่งกลางคืนและ
กลางวันให้เป็น 6 ส่วน คือพึงแบ่งออกเป็น 6 ส่วน กลางคืน 3 ส่วน
คือยามต้น ยามกลาง ยามสุดท้าย กลางวันก็เหมือนกัน. บทว่า ปญฺจ-
โกฏฺฐาสํ ชาคเรยฺย
พึงตื่น 5 ส่วน คือพึงสละยามกลางในกลางคืนแล้ว
ไม่หลับ ใน 5 ส่วนที่เหลือ. บทว่า เอกํ โกฏฺฐานํ นิปชฺเชยฺย นอนหลับ 1

ส่วน คือมีสติสัมปชัญญะ นอนหลับตอนยามกลาง 1 ส่วน. บทว่า อิธ ภิกฺขุ
ทิวสํ
คือ แบ่งกลางวันออกเป็น 3 ส่วน คือเช้า กลางวัน เย็น. บทว่า
จงฺกเมน นิสชฺชาย ด้วยการเดินจงกรมและการนั่ง คือบริหารด้วย
อิริยาบถทั้งสองนี้ตลอดวัน พึงชำระจิตจากธรรมเป็นเครื่องกั้นจิต หรือ
จากอกุศลธรรมทั้งปวงอันได้แก่นิวรณ์ 5. บทว่า จิตฺตํ ปริโสเธยฺย พึง
ชำระจิตให้บริสุทธิ์ จากธรรมเหล่านั้น. ในที่นี้มิได้กำหนดการยืนไว้ก็จริง
ถึงดังนั้นก็ควรกำหนดเอาการยืน อาศัยการเดินจงกรมและการนั่งนั่นแล.
บทว่า ปฐมํ ยามํ คือ ตลอดยามต้น.
พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า เสยฺยํ การนอน ดังนี้. การนอนมี 4
อย่าง คือ กามโภคีเสยฺยา 1 เปตเสยฺยา 1 สีหเสยฺยา 1 ตถาคต
เสยฺยา 1.

ในการนอน 4 อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย คนบริโภคกามโดยมากนอนโดยข้างซ้าย นี้ชื่อว่า กามโภคี-
ไสยา.
จริงอยู่ คนบริโภคกามเหล่านั้นย่อมไม่นอนโดยข้างขวา. ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เปรตโดยมากนอนหงาย นี้ชื่อว่า เปตไสยา. จริงอยู่
เพราะเปรตมีเนื้อและเลือดน้อย เปรตห่อหุ้มด้วยโครงกระดูก จึงไม่อาจ
จะนอนโดยข้างหนึ่งได้ จึงต้องนอนหงาย. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สีหมฤค-
ราชสำเร็จการนอนโดยข้างขวา ฯลฯ จึงพอใจ นี้ชื่อว่า สีหไสยา.
จริงอยู่ สีหมฤคราชเพราะมีอำนาจสูง วางเท้าทั้งสองไว้ที่เท้าหลังข้างหนึ่ง
ในที่เดียวกัน สอดหางไว้หว่างขา กำหนดโอกาสที่เท้าหน้าเท้าหลังและ
หางตั้งอยู่ แล้ววางศีรษะลงบนที่สุดเท้าหน้าทั้งสองนอนแม้นอนหลับตลอด
วัน เมื่อตื่นก็ตื่นอย่างไม่หวาดสะดุ้ง เงยศีรษะสังเกตโอกาสที่เท้าหน้า

เป็นต้นตั้งอยู่. หากที่ไร ๆ ละไปตั้งอยู่ไม่เรียบร้อย สีหมฤคราชก็เสียใจว่า
นี้ไม่สมควรแก่เจ้าผู้มีความกล้าหาญโดยกำเนิด จึงนอนต่อไปในที่นั้น
ไม่ไปแสวงหาอาหาร แต่ครั้นเมื่อไม่ละ ตั้งอยู่เรียบร้อย สีหะก็ดีใจว่า
นี้สมควรแก่เจ้าผู้มีความกล้าหาญโดยกำเนิด จึงลุกบิดกายอย่างสีหะ สลัด
ขนที่คอ บันลือสีหนาท 3 ครั้ง แล้วจึงไปหาอาหาร. ส่วนการนอน
ด้วยจตุตถฌานเรียกว่า ตถาคตไสยา (พระตถาคตนอน). ในไสยา 4
อย่างเหล่านั้น ในที่นี้หมายเอาสีหไสยา. เพราะไสยานี้ ชื่อว่าเป็นไสยา
อย่างสูงที่สุด เพราะเป็นอิริยาบถที่มีอำนาจสูง.
บทว่า ปาเท ปาทํ ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า คือเท้าซ้ายทับเท้าขวา.
บทว่า อจฺจาธาย คือ ตั้งเท้าเหลื่อมเท้าเลยไปนิดหน่อย. เพราะเมื่อข้อเท้า
เสียดสีกับข้อเท้า เข่าเสียดสีกับเข่า นอนไม่สบาย. เมื่อตั้งเท้าเลยไปโดยที่ไม่
เสียดสีกันเวทนาย่อมไม่เกิดจิตก็มีอารมณ์เป็นหนึ่ง นอนสบาย. ด้วยเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า. บทว่า สโต สมฺปชา-
โน
คือ เป็นผู้ประกอบด้วยสติและสัมปชัญญะ. ด้วยบทนี้ กล่าวถึงสติ
สัมปชัญญะที่กำหนดไว้ดีแล้ว. บทว่า อุฏฺฐานสญฺญํ มนสิการิตฺวา ทำ
สัญญาในการตื่นขึ้นไว้ในใจ คือตั้งอุฏฐานสัญญากำหนดเวลาตื่นขึ้นไว้ใน
ใจอย่างนี้ว่า เราจักตื่นขึ้นในเวลาโน้นดังนี้. เพราะทำอย่างนี้แล้วนอน
จะตื่นขึ้นในเวลาที่กำหนดไว้เป็นแน่.
พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสแห่งวิริยินทรีย์ ดังต่อไปนี้. บทว่า
เจตสิโก นี้ ท่านกล่าวเพื่อแสดงว่าความเพียรเป็นไปทางจิตโดยแน่นอน.
เพราะความเพียรนี้ท่านกล่าวว่า เจตสิก ก็เพื่อแสดงว่า ความเพียรเป็นไป
ทางกายไม่มี มีแต่เป็นไปทางจิตเท่านั้น ดุจกายวิญญาณ แม้กล่าวว่าเป็น

ไปทางกาย เพราะเกิดขึ้นแก่ผู้กระทำจงกรมเป็นต้น ในพระสูตรทั้งหลาย
มีอาทิอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเพียรเป็นไปทางกายแม้ใด
ความเพียรนั้นก็คือวิริยสัมโพชฌงค์. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเพียรเป็น
ไปทางจิตแม้ใด ความเพียรนั้นก็คือวิริยสัมโพชฌงค์ เพราะเหตุนั้น
ความเพียรนี้ย่อมมาสู่อุเทศด้วยประการฉะนี้.
บทว่า วิริยารมฺโภ ความว่า อารัมภะคือวิริยะ.
จริงอยู่ อารัมภศัพท์นี้มาแล้วในเนื้อความไม่น้อย คือในกรรม ใน
อาบัติ ในกิริยา ในวิริยะ ในความเบียดเบียน ในการทำร้าย.

อารัมภะ มาในความว่า กรรม ในคาถานี้ว่า
ทุกข์ทั้งปวงอย่างใดอย่างหนึ่งย่อมเกิด เพราะมี
อารัมภะ (กรรม) เป็นปัจจัย ความเกิดทุกข์ไม่มี เพราะ
ดับอารัมภะเสียได้.

อารัมภะ มาในความว่า อาบัติ ในบทนี้ว่า ย่อมปรารภ และย่อม
เป็นความเดือดร้อน.
อารัมภะ มาในความว่า กิริยา มีอุปกรณ์ในการบูชายัญเป็นต้น ใน
บทนี้ว่าบรรดาทั้งหลายมีความเพียรมากมหายัญเหล่านั้นไม่มีผลมากเลย
อารัมภะ มาในความว่า วิริยะ ในบทนี้ว่า ท่านทั้งหลา จงพยายาม
จงออกไป จงขวนขวายในพระพุทธศาสนาเถิด.
อารัมภะ มาในความว่า ความเบียดเบียน ในประโยคนี้ว่า ชน
ทั้งหลายย่อมเบียดเบียนสัตว์ เจาะจงพระสมณโคดม.
อารัมภะ มาในความว่าการประทุษร้าย มีการตัดและทำลายเป็นต้น
ในบทนี้ว่า เป็นผู้เว้นจากการทำลายพืชคาม (เมล็ดพันธุ์ไม้) ภูตคาม

ไม้ที่งอกแล้ว). ในที่นี้ท่านประสงค์เอาวิริยะเท่านั้น. ที่ท่านกล่าวว่า
บทว่า กิริยารมฺโภ ได้แก่ อารัมภะ คือความเพียร.
จริงอยู่ ความเพียร ท่านเรียกว่า อารัมภะ ด้วยสามารถแห่งความ
พยายาม. บทว่า วิริยารมฺโภ นี้ เป็นบทแสดงถึงสภาวะของความเพียร
นั้น. การก้าวออกด้วยการออกไปจากความเกียจคร้าน. การก้าวหน้าด้วย
การก้าวไปสู่ฐานะอื่นๆ. ความขวนขวายด้วยการย่างขึ้นไป. ความพยายาม
ด้วยการไปไม่หยุด. ความอุตสาหะด้วยความขะมักเขม้น. ความขยันด้วย
ความขะมักเขม้นอย่างสูง. ความมั่นคงด้วยตั้งอยู่ในความหนักแน่น. ความ
ทรงไว้ เพราะทรงไว้ด้วยสามารถการทรงจิตและเจตสิกไว้ได้ หรือทรง
ความสืบต่อแห่งกุศลไว้ด้วยสามารถความเป็นไปโดยไม่ขาดตอน.
อีกนัยหนึ่ง ความก้าวออกนี้เพื่อบรรเทากามทั้งหลาย. ความ
ก้าวหน้านี้เพื่อตัดความผูกพัน. ความขวนขวายนี้เพื่อถอนโอฆะ. ความ
พยายามนี้เพื่อไปถึงฝั่ง. ความอุตสาหะนี้เพื่อไปข้างหน้า. ความขยันนี้
เพื่อความยิ่งขึ้นไป. ความมั่นคงนี้เพื่อถอนกิเลสเพียงดังกลอนเหล็ก. ความ
ทรงไว้นี้เพื่อไม่หยุดยั้ง. ความก้าวหน้ามิได้ย่อหย่อน ด้วยสามารถการ
ก้าวไปไม่หยุดในกาลอันเป็นไปอย่างนี้ว่า หนังเอ็นและกระดูกจงเหลืออยู่
ก็ตาม. อธิบายว่า ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง. อนึ่ง เพราะความเพียรนี้
ไม่ปลงฉันทะ ไม้ทอดธุระ ไม่ข้ามไป ไม่สละ นำมาซึ่งความเป็นผู้ไม่
ท้อถอย ในที่ที่ทำกุศลกรรม ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ความไม่ปลงฉันทะ
ความไม่ทอดธุระ ดังนี้. เหมือนอย่างว่าชนทั้งหลายกล่าวว่า พวกท่าน
จงคอ จับโคนำสินค้าไปในที่ที่เจิ่งไปด้วยน้ำใกล้ฝั่งคงคา โคนั้นแม้คุกเข่า
ลงที่พื้นก็ยังนำสินค้าไปได้ ไม่ให้สินค้าตกลงที่พื้นฉันใด ภิกษุไม่ทอด

ธุระ ประคองความเพียรไว้ในที่ที่ทำกุศลกรรม ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ประคองธุระไว้ ชื่อว่า วิริยินทรีย์ เพราะ
ทำความเป็นใหญ่ในลักษณะประคองไว้. ชื่อว่า วิริยพละ เพราะไม่หวั่น-
ไหวไปในความเกียจคร้าน. ชื่อว่า สัมมาวายามะ เพราะพยายามในกุศล
อันนำสัตว์ออกไปจากทุกข์ได้แน่นอน.
บทว่า ตนฺทิ ความเกียจคร้าน. บทว่า ตนฺทิยา คือ อาการเกียจ-
คร้าน. บทว่า ตนฺทิมนกตา ความเป็นผู้เกียจคร้าน คือความเป็นผู้มีจิต
ถูกความเกียจคร้านครอบงำ. ความเป็นแห่งความขี้เกียจ ชื่อว่า อาลสิยํ
ความขี้เกียจ. อาการแห่งความขี้เกียจ ชื่อว่า อาลสายนา กิริยาที่ขี้เกียจ.
ความเป็นแห่งคนขี้เกียจ ชื่อว่า อาลสายิตตฺตํ ความเป็นคนขี้เกียจ.
ด้วยบทเหล่านี้แม้ทั้งหมด ท่านกล่าวถึงความเป็นผู้ขี้เกียจทางกายด้วย
อำนาจกิเลส. บทว่า วญฺจนิกา จริยา คือ กิริยาหลอกลวง. บทว่า มา มํ
ชญฺญาติ วาจํ ภาสติ
กล่าววาจาคิดว่าใคร ๆ อย่ารู้จักเรา คือภิกษุทั้ง ๆ
รู้อยู่ ล่วงข้อบัญญัติทำกรรมหนัก แต่กล่าวทำเป็นเหมือนผู้สงบว่า เรา
ไม่มีการละเมิดเลย. บทว่า กาเยน ปรกฺกมติ บากบั่นด้วยกาย คือทำ
ความปกปิดทางกายว่า ใคร ๆ อย่ารู้บาปกรรมที่เราทำนี้เลย. ความลวง
คือทำเป็นลวงให้หลงทางตา โดยปกปิดโทษที่มีอยู่. ความเป็นแห่งความ
เป็นผู้หลอกลวง ชื่อว่า มายาวิตา ความเป็นผู้ลวง. ชื่อว่า อจฺจสรา
เพราะทำความชั่วแล้วปิดบัง. ชื่อว่า วญฺจนา เพราะซ่อนความจริงโดย
ให้เห็นเป็นอย่างอื่น ด้วยวาจาและกิริยา. ชื่อว่า นิกติ เพราะบังความผิด.
อธิบายว่า ทำผิด. ชื่อว่า นิกิรณา เพราะปิดความผิดด้วยคิดว่า เราจะ
ไม่ทำอย่างนี้อีก. ชื่อว่า ปริหรณา เพราะเลี่ยงความผิดด้วยคิดว่า เราจะ

ไม่ทำอย่างนี้อีก. ชื่อว่า คูหณา ซ่อนความผิดโดยสำรวมกายเป็นต้น.
ชื่อว่า ปริคูหณา คือ ซ่อนผิดทุกส่วนโดยประการทั้งปวง. ชื่อว่า ฉาทนา
เพราะปิดบังความชั่วด้วยกายกรรมและวจีกรรม ดุจปิดบังคูถด้วยใบหญ้า
ฉะนั้น. ชื่อว่า ปริจฺฉาทนา เพราะปิดบังทุกส่วนโดยประการทั้งปวง. ชื่อว่า
อนุติตานีกมฺมํ เพราะไม่แสดงเปิดเผย. ชื่อว่า อนาวิกมฺมํ เพราะไม่แสดง
ให้ปรากฏ. ชื่อว่า โวจฺฉาทนา เพราะคลุมความผิดไว้อย่างดี. ชื่อว่าปาป-
กิริยา
เพราะทำชั่วใหม่อีก โดยปกปิดความชั่วที่ทำมาแล้ว. บทว่า
อยํ วุจฺจติ คือ นี้เรียกว่าความลวง มีลักษณะปกปิดความชั่วที่ทำมาแล้ว.
บุคคลมีมายาดุจถ่านปกปิดด้วยขี้เถ้า ดุจตอปกปิดด้วยน้ำ และดุจศัสตรา
ปกปิดด้วยเอาผ้าเก่าพัน.
บทว่า อติเวลํ ทนฺตวิทํสกํ หสติ บุคคลย่อมหัวเราะเกินประมาณ
จนฟันปรากฏ คือเปิดฟันแสดงแก่คนอื่น ยังความชื่นชมโสมนัสให้เกิด
แล้วหัวเราะเกินประมาณ. บทว่า กายิกา จ ขิฑฺฑา การเล่นทางกาย
คือการเล่นอันเป็นไปทางกาย. แม้ในทางวาจาก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บทว่า
หตฺถีหิปิ กีฬนฺติ เล่นช้าง คือเล่นด้วยการเล่นมีนั่งเป็นต้นบนหลัง ให้
วิ่งให้กระโดดไปข้างหน้าโดยให้ช้างเล่น. แม้ในม้าและรถก็มีนัยนี้. บทว่า
อฏฺฐปเทปิ กีฬนฺติ เล่นหมากรุกแถวละ 8 ตาบ้าง คือชื่อว่า อฏฺฐปทํ
เพราะแถวหนึ่งๆมี 8 ตา. ในแถวละ 8 ตานั้น. แม้ในแถวละ 10 ตา
ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บทว่า อากาเส คือ เล่นหมากเก็บเหมือนเล่นหมากรุก
แถวละ 8 ตานั่นแล. บทว่า ปริหารปเถหิปิ เล่นชิงนางบ้าง คือขีด
เส้นลงบนดินทำให้เป็นวงกลม แล้วเล่นไล่จับกันในที่นั้น. บทว่า สนฺติ-
กายปิ กีฬนฺติ
คือ เล่นหมากไหวบ้าง. เอาตาสกาหรือก้อนกรวดตั้งไว้

รวมกันไม่ให้ไหว เอาเล็บเขี่ยออกและเขี่ยเข้า. หากก้อนกรวดอะไรๆในที่
นั้นไหวเป็นแพ้. บทว่า ขลิกาย คือ เล่นโยนบ่วงบนกระดานพนัน. บทว่า
ฆฏิกาย เล่นไม้หึ่ง คือเล่นโดยเอาท่อนไม้ยาวตีกับท่อนไม้สั้น เรียกว่า
ฆฏิกา. บทว่า สลากหตฺเถน เล่นฟาดให้เห็นรูปร่างๆ คือเอาเส้นหญ้า
ชุบด้วย ครั่ง ฝาง หรือแป้งเปียก แล้วฟาดเส้นหญ้านั้นลงบนพื้นดิน
หรือที่ฝา ดูว่าจะเป็นรูปอะไร แล้วเล่น แสดงให้เห็นเป็นรูปช้างและม้า
เป็นต้น. บทว่า อกฺเขน คือ เล่นสกา. บทว่า ปงฺกจีเรน เล่นเป่าใบ
ไม้ ใบไม้เรียกว่า ปงฺกจีรํ เล่นเป่าใบไม้นั้น. บทว่า วงฺกเกน เล่นไถ
น้อย ๆ คือไถเล็กๆสำหรับเด็กชาวบ้านเล่น. บทว่า โมกฺขจิกาย คือ
เล่นหกคะเมน. ท่านอธิบายว่า กระโดดรับท่อนไม้บนอากาศ หรือวาง
หัวลงกับพื้นดินแล้วเล่นหกคะเมน. บทว่า จิงฺคุลเกน เล่นกังหัน คือเล่น
เครื่องหมุนตีลมทำด้วยใบตาลเป็นต้นเรียกว่า จิงฺคุลกํ. บทว่า ปตฺตาฬฺ-
หเกน
เล่นตวงทราย คือ เล่นตวงทรายเป็นต้นด้วยทะนานใบไม้ เรียกว่า
ปตฺตาฬฺหกํ. บทว่า รถเกน คือ รถน้อยๆ. บทว่า ธนุเกน คือ ธนู
น้อย ๆ. บทว่า อกฺขริกาย เล่นเขียนทายกัน คือเล่นเขียนอักษรบน
อากาศ หรือบนหลังทายกัน เรียกว่า อกฺขริกา. บทว่า มเนสิกาย
เล่นทายใจกัน คือเล่นให้รู้ความคิดทางใจ เรียกว่า มเนสิกา. บทว่า
ยถาวชฺเชน เล่นเลียนคนขอทาน คือเล่นเลียนคำพูดของตนตาบอด คน
ง่อย คนกระจอก เป็นต้น เรียกว่า ยถาวชฺชํ.
บทว่า มุขเภริยํ เล่นตีกลองปาก คือ เป่าเสียงออกทางปากเหมือน
กลอง บทว่า มุขาฬมฺพทํ1 คือ เล่นพิณพาทย์ทางปาก. บทว่า มุขเฑณฺ-
ฑิมกํ
คือ เล่นรัวกลองทางปาก. บทว่า มุขวลิมกํ เล่นผิวปาก คือทำลิ้น

1. สี. ม. มุขาลมฺพรํ

ที่เนื้อริมฝีปากให้มีเสียง. ปาฐะว่า มุขวาลิกํ บ้าง. คือผิวรอบ ๆ ปาก.
บทว่า มุขเภรุฬกํ เล่นกระเดาะปาก คือเป่าเป็นกลองทางปาก บทว่า
นาฏกํ เล่นซ้อมเพลง คือแสดงให้เรียนท่าใหม่ๆ ปาฐะว่า นฏฺฏกํ บ้าง
บทว่า ลาสํ เล่นโห่ร้อง คือทำเสียงตะโกน. บทว่า คีตํ เล่นร้องเพลง
คือขับร้อง. บทว่า ทวกมฺมํ คือ เล่นหัวเราะกัน. บทว่า อยํ วาจสิกา
ขิฑฺฑา
คือ นี้ชื่อว่าการเล่นเกิดทางวาจา คือเกิดแล้วในวจีทวาร.
พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า เกสา จ มสฺสุ จ เป็นอาทิ ดังต่อไปนี้.
เอากรรไกรตัดผมไม่ให้แหว่ง, แต่งหนวดให้เป็นเขี้ยว, กำดอกไม้มีก้าน
เป็นกำเดียวกันเป็นต้น ของหอมมีกลิ่นที่รากเป็นต้น เครื่องลูบไล้ทำการ
ย้อมผิว เครื่องประดับตกแต่งที่คอเป็นต้น เครื่องประดับตกแต่งสวมศีรษะ
ผ้านุ่งอย่างวิจิตร สร้อยสังวาล เครื่องรัดและเครื่องประดับผ้าโพกศีรษะ.
พึงทราบวินิจฉัยในการอบตัวเป็นต้น ดังนี้. กลิ่นกายของทารก
ที่เกิดจากครรภ์มารดา จะหมดไปในเมื่ออายุได้ประมาณ 12 ปี. เพื่อนำ
กลิ่นกายของทารกกลับมา มารดาบิดาจึงอบด้วยจุณขมิ้นเป็นต้น การอบ
อย่างนี้ไม่ควร. แต่บิดามารดาให้ทารกมีบุญนอนบนขาอ่อนทั้งสอง แล้ว
ทาด้วยน้ำมันนวด เพื่อให้ส่วนต่าง ๆ มีมือ เท้า ขาอ่อน และต้องเป็นต้น
สมบูรณ์. การนวดอย่างนี้ก็ไม่ควร. บทว่า นหาปนํ คือ การอาบน้ำ คือ
อาบทารกเหล่านั้นด้วยของหอมเป็นต้น. บทว่า สมฺพาหนํ คือ การดัดตัว
คือเอาไม้ค้อนเป็นต้นทุบเบา ๆ ที่มือและเท้า ดุจของนักมวยปล้ำ แล้วดัด
แขน. บทว่า อาทาสํ คือ การส่องกระจก การส่องกระจกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ไม่ควร. บทว่า อญฺชนํ คือ แต้มตา. บทว่า มาลา คือ สวมพวงดอกไม้
หรือไม่สวม. บทว่า วิเลปนํ คือ ทำการย้อมผิวอย่างใดอย่างหนึ่ง บทว่า

มุขจุณฺณกํ มุขาเลปํ การเจิมหน้าการทาปาก ชนทั้งหลายเพื่อจะเอาไฝดำ
ที่ใบหน้าออก จึงใช้ยางเหนียวของดินแต้ม เมื่อเลือดออกด้วยยางเหนียว
ของดินนั้น ใช้ยางเหนียวของเมล็ดผักกาดแต้ม เมื่อเมล็ดผักกาดนั้นกัด
ฝีดำที่เป็นโทษแล้ว ให้ยางเหนียวของงา เมื่อเลือดสงบด้วยยางเหนียว
ของงา จึงให้ยางเหนียวของขมิ้น เมื่อผิวพรรณผ่องด้วยยางเหนียวของ
ขมิ้นนั้น จึงเจิมหน้าด้วยเครื่องเจิมหน้า.
พึงทราบวินิจฉัยในการผูกข้อมือเป็นต้น ดังต่อไปนี้.
ชนทั้งหลายผูกสังข์และกระเบื้องอันวิจิตรที่ข้อมือเที่ยวไป. เครื่อง
ประดับข้อมือทั้งหมดนั้นหรืออย่างอื่นไม่ควร. ชนอีกพวกหนึ่ง ผูกแหยม
เที่ยวไป และล้อมแหยมนั้นด้วยป่านทองวลัยมุกดา. ทั้งหมดนั้นไม่ควร.
ชนอีกพวกหนึ่ง ถือไม้เท้า 4 ศอก หรือไม้เท้าประดับอย่างอื่นเที่ยวไป.
อนึ่ง ชนทั้งหลาย คล้องขวดยาวิจิตรไปด้วยรูปหญิงและชายเป็นต้น
ล้อมรอบเป็นอย่างดีที่บ่าข้างซ้าย. ชนอีกพวกหนึ่ง คล้องดาบอันคมกริบ
มีฝักวิจิตรตระการตา กางร่มวิจิตรด้วยเขี้ยวมังกรเย็บด้วยด้าย 5 สี สวม
รองเท้าล้อมด้วยแววหางนกยูงเป็นต้น วิจิตรด้วยทองและเงิน. บางคน
ไว้ผมยาวประมาณศอกหนึ่งกว้าง 4 องคุลี สวมกรอบหน้าที่หน้าผากดุจ
สายฟ้าที่ปากเมฆ แล้วปักปิ่น ใช้พัดจามรีและพัดวาลวิชนี. ทั้งหมดนั้น
ไม่ควร.
บทว่า อิมสฺส วา ปูติกายสฺส กายอันเปื่อยเน่านี้ คือร่างของศพ
อันสำเร็จด้วยมหาภูตรูป 4 นี้. บทว่า เกฬนา คือ การเล่นสนุก. บทว่า
ปริเกฬนา การเล่นเพลิน คือเล่นได้ทุกส่วนโดยประการทั้งปวง. บทว่า
เคธิตตา คือ การปรารถนา. บทว่า เคธิตตฺตํ คือ ความชอบ ความ

ปรารถนา. บทว่า จปลนา กิริยาที่ประดับ คือทำการประดับ. บทว่า
จาปลฺยํ คือ ความเป็นแห่งการประดับ.
พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า สวิภูสํ เป็นต้น ดังต่อไปนี้. เป็นไป
กับด้วยความประดับ ชื่อว่า สวิภูสํ. เป็นไปกับด้วยบริวาร คือการทำการ
ย้อมผิว ชื่อว่า สปริวารํ. เป็นไปกับด้วยของใช้ ชื่อว่า สปริภณฺฑํ.
เป็นไปกับด้วยบริขาร ชื่อว่า สปริกฺขารํ.
บทว่า อาถพฺพณํ อาถรรพณ์ คือประกอบมนต์ทำอาถรรพณ์. บทว่า
สุปินํ คือ ตำราทำนายฝัน. บทว่า ลกฺขณํ การทายลักษณะ คือมีการ
ทายลักษณะตัว แก้วมณีเป็นต้น . บทว่า โน วิเทเห คือ ไม่พึงประกอบ.
บทว่า วิรุทญฺจ การทายเสียงสัตว์ร้อง คือเสียงร้องของสัตว์มีเนื้อเป็นต้น.
บทว่า อาถพฺพณิกา พวกคนที่มีมนต์ทำอาถรรพณ์ คือรู้มนต์เพื่อ
ฆ่าผู้อื่น. ชื่อว่า อาถพฺพณิกา เพราะประกอบอาถรรพณ์ ได้ยินมาว่า
พวกประกอบอาถรรพณ์ บริโภคของไม่เค็มตลอด 7 วัน ปูหญ้าคานอน
บนพื้นดินประพฤติตบะ ในวันที่ 7 เตรียมพื้นสุสาน ยืนอยู่บนทางที่ 7
ชูมือร่ายวิชา. ที่นั้นการงานของพวกเขาก็สำเร็จ. พระสังคติกาจารย์
กล่าวว่า ประกอบอาถรรพณ์ หมายถึงพวกรู้มนต์ทำอาถรรพณ์พวกนี้
แหละ. ในบทเหล่านั้น บทว่า ปโยเชนฺติ คือ เป็นผู้ขวนขวายในการ
ประกอบอาถรรพณ์. บทว่า นคเร วา รุทฺเธ เมื่อนครถูกล้อม คือเมื่อ
นครถูกปิดกั้นไว้โดยรอบ. บทว่า สงฺคาเม วา ปจฺจุปฏฺฐิเต คือ หรือเมื่อ
สงครามตั้งประชิดกัน. บทว่า ปจฺจติถิเกสุ ปจฺจามิตฺเตสุ คือ ในพวก
ข้าศึกที่เป็นศัตรูกัน. บทว่า อีตึ อุปฺปาเทนฺติ ยังจัญไรให้เกิดขึ้น คือ
ทำความหวั่นไหวปั่นป่วนให้เกิดขึ้นแก่ข้าศึก. บทว่า อุปทฺทวํ อันตราย

คือทำการบีบคั้นทางกาย. บทว่า โรคํ คือ พยาธิ. บทว่า ปชฺชรกํ คือ
โรคไข้เชื่อมซึม. บทว่า สุลํ คือ โรคจุกเสียด. บทว่า วิสูจิกํ คือ โรค
ลงราก. บทว่า ปกฺขนฺทิกํ คือ โรคบิด. บทว่า กโรนฺติ คือ ให้เกิดขึ้น.
บทว่า สุปินปาฐกา คือ พวกทำนายฝัน. บทว่า อาทิสนฺติ คือ
พยากรณ์. ในบทมีอาทิว่า โย ปุพฺพณฺหสมยํ สุปินํ ปสฺสติ ผู้ใดเห็น
ฝันในเวลาเช้า เป็นทุติยาวิภัตติลงในอรรถแห่งสัตตมีวิภัตติ แปลว่า
ในเวลาเช้า. บทว่า เอวํ วิปาโก โหติ จะมีผลอย่างนี้ คือจะมีผลเห็น
ปานนี้ โดยเป็นผลที่น่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนา. บทว่า อวกุชฺชนิ-
ปนฺโน
คนนอนคว่ำ คือนอนคว่ำฝัน พวกทำนายฝันจะท่านายฝัน
อย่างนี้.
อนึ่ง ผู้ฝันย่อมฝันด้วยเหตุ 4 ประการ คือธาตุโขภะ ธาตุกำเริบ 1
อนุภูตปุพพะ เคยเสพมาก่อน 1 เทวโตปสังหาระ เทวดาดลใจ 1 ปุพพ-
นิมิต
ลางบอกเหตุ 1.
ในความฝัน ประการนั้น ผู้มีธาตุกำเริบ เพราะดีเป็นต้นกำเริบ
ชื่อว่าฝันโดยธาตุกำเริบ. ผู้ฝันโดยเคยเสพมาก่อนแล้ว ย่อมเห็นอารมณ์
ที่เคยเสพมาแล้วในกาลก่อน. ฝันโดยเทวดาดลใจ ย่อมเห็นอารมณ์
ทั้งหลายด้วยอานุภาพของเทวดาทั้งหลาย. ฝันโดยบอกเหตุล่วงหน้า ย่อม
ฝันเห็นลางบอกเหตุล่วงหน้าแห่งสิ่งที่เป็นประโยชน์ หรือสิ่งที่ไม่เป็น
ประโยชน์ อันประสงค์จะให้เกิดด้วยอำนาจบุญและบาป. ในความฝัน
เหล่านั้น ฝันโดยธาตุกำเริบและโดยที่เคยเสพมาก่อนแล้ว ไม่เป็นจริง.
ฝันโดยเทวดาดลใจ จริงบ้างไม่จริงบ้าง. เพราะเทวดาโกรธ ประสงค์จะ
ให้ถึงความพินาศโดยอุบาย ก็แสดงทำให้วิปริต. ฝันโดยบอกเหตุล่วง
หน้า จริงโดยสิ้นเดียว.

ประเภทแห่งความฝัน ย่อมมีโดยประเภทแห่งความเกี่ยวข้องกันของ
มูลเหตุ 4 อย่างเหล่านี้ ปุถุชนผู้เป็นเสกขะย่อมฝัน 4 อย่างนี้ เพราะยัง
ละความวิปลาสไม่ได้. พระอเสกขะไม่ฝัน เพราะละวิปลาสได้แล้ว เมื่อฝัน
หลับฝันหรือตื่นฝัน หรือไม่หลับไม่ตื่น. ในข้อนี้ ผิว่าหลับฝัน ผิดทาง
อภิธรรมโดยแท้ เพราะว่าฝันด้วยจิตเข้าสู่ภวังค์ (ไม่รู้สึกตัว) ความฝัน
นั้นไม่มีอารมณ์มีรูปนิมิตเป็นต้น หรือไม่สัมปยุตตด้วยกิเลสมีราคะเป็นต้น.
อนึ่ง เมื่อฝันจิตเช่นนี้ย่อมเกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้น ตื่นฝันจึงผิดทางวินัย
เพราะว่าตื่นฝัน ย่อมฝันด้วยจิตเป็นอัพโพหาริก (มีเหมือนไม่มี) ชื่อว่า
ไม่เป็นอาบัติในเพราะทำการละเมิดด้วยจิตเป็นอัพโพหาริกไม่มี เมื่อผู้ฝัน
ทำการละเมิด ไม่เป็นอาบัติโดยส่วนเดียวเท่านั้น ดังนั้นไม่หลับไม่ตื่นฝัน
ใคร ๆ ก็ไม่ฝัน เมื่อเป็นอย่างนี้ ความฝันก็ไม่มี ไม่ฝันก็ไม่มี. เพราะเหตุไร.
เพราะฝันเช่นเดียวกับลิงหลับ. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า มหา-
บพิตร ฝันย่อมเห็นเช่นกับลิงหลับแล. บทว่า กปิมิทฺธปเรโต คือ ประกอบ
แล้วด้วยการนอนหลับของลิง. การหลับใดเปลี่ยนไปเร็ว เพราะเจือด้วยจิต
เป็นกุศลเป็นต้นบ่อย ๆ การออกจากภวังคจิตบ่อย ๆ ย่อมมีในความเป็นไป
ของการหลับใด ย่อมฝันประกอบด้วยการหลับนั้น เหมือนการหลับของลิง
เปลี่ยนแปลงไปได้เร็วฉะนั้น. ด้วยเหตุนั้น ความฝันนี้ จึงเป็นกุศลบ้าง
อกุศลบ้าง อัพยากฤตบ้าง. ในความฝันนั้นพึงทราบว่า ความฝันของ
บุคคลผู้กระทำการไหวพระเจดีย์ การฟังธรรม และแสดงธรรมเป็นต้น
เป็นกุศล ความฝันของบุคคลผู้กระทำปาณาติบาตเป็นต้นเป็นอกุศล ความ
ฝันนอกเหนือจากสองอย่างนั้นเป็นอัพยากฤต ในขณะที่อารมณ์นั้นเป็น

อาวัชชนะ. ความฝันนั้นไม่สามารถฉุดรั้งปฏิสนธิได้ เพราะมีกำลังน้อย
แต่กุศลอกุศลอื่นค้ำจุน ย่อมให้วิบากได้ในเพราะยังเป็นไปอยู่.
พึงทราบวินิจฉัยในลักษณะแก้วมณี ดังต่อไปนี้. พวกทำนาย
ลักษณะ ย่อมทำนายลักษณะของแก้วมณีเป็นต้น ด้วยสีและสัณฐานเป็นต้น
อย่างนี้ว่า แก้วมณีอย่างนี้ประเสริฐ อย่างนี้ไม่ประเสริฐ ย่อมเป็นเหตุ
แห่งความไม่มีโรคและความเป็นใหญ่แก่เจ้าของ. ในลักษณะเหล่านั้น
บทว่า อาวุธลกฺขณํ ลักษณะอาวุธ คืออาวุธที่เหลือเว้นดาบเป็นต้น.
แม้ลักษณะหญิงเป็นต้น ก็พึงทราบด้วยอำนาจความเจริญและความเสื่อม
ของตระกูลที่หญิงและชายเป็นต้นอยู่. ส่วนในลักษณะแพะเป็นต้น ควร
ทราบความต่างกัน คือเนื้อของแพะเป็นต้นอย่างนี้ควรกิน อย่างนี้ไม่ควร
กิน. ในลักษณะเหี้ย พึงทราบความวิเศษดังนี้ บรรดาจิตรกรรมและเครื่อง
ประดับเป็นต้น เมื่อเหี้ยเห็นปานนี้มีอยู่. สิ่งนี้ย่อมมี. ลักษณะช่อฟ้าพึง
ทราบด้วยอำนาจแห่งช่อฟ้า เครื่องประดับบ้าง ช่อฟ้าเรือนบ้าง แม้
ลักษณะเต่าก็เช่นเดียวกับลักษณะเหี้ยนั่นแล. ลักษณะเนื้อ ท่านกล่าว
สงเคราะห์เนื้อทุกชนิด ด้วยอำนาจแห่งลักษณะของสัตว์ 4 เท้าทั้งหมด.
บทว่า เอวํ ลกฺขณปาฐกา ลกฺขณํ อาทิสนฺติ คือ ผู้บอกตำราทายลักษณะ
ย่อมทายคือย่อมบอกลักษณะอย่างนี้.
บทว่า น นกฺขตฺตานิ คือ ฤกษ์ 28 อย่างมีกัตติกาฤกษ์เป็นต้น . บทว่า
อิมินา นกฺขตฺเตน ฆรปฺปเวโส กตฺตพฺโพ คือ งานมงคลขึ้นบ้านใหม่
ควรทำด้วยฤกษ์นี้. บทว่า มกุฏํ พนฺธิตพฺพํ คือ งานมงคลผูกเครื่อง
ประดับ. บทว่า วาเรยฺยํ งานมงคลแต่งงาน คือ พวกดูฤกษ์ถึงการทำ
อาวาหมงคลว่า ท่านทั้งหลายจงนำหญิงจากตระกูลโน้นมาให้แก่ชายด้วย

ฤกษ์โน้น และบอกการทำวิวาหมงคลว่า พวกท่านจงให้หญิงนี้แก่ชายชื่อ
โน้นด้วยฤกษ์โน้น ความเจริญจักมีแก่เขาทั้งสองด้วยประการฉะนี้ แล้ว
ทายว่า พึงทำอาวาหมงคลและวิวาหมงคล คือการแต่งงาน. บทว่า
พีชนีหาโร งานมงคลปลูกพืช คือการนำพืชออกไปภายนอกเพื่อจะหว่าน.
บาลีว่า นิหาโร ก็มี.
บทว่า มิคจกฺกํ เสียงเนื้อและเสียงนกนี้ เป็นชื่อรวมสัตว์ทุกชนิด
ท่านกล่าวด้วยสามารถการรู้เสียงร้องของนกและสัตว์สี่เท้าทุกชนิด. บทว่า
มิคจกฺกปาฐกา ผู้รู้เสียงเนื้อและเสียงนก คือผู้ทายเสียงของนกและสัตว์
สี่เท้า. บทว่า มิคจกฺกํ อาทิสนฺติ ย่อมทายเสียงเนื้อและนก คือฟังเสียง
สัตว์เหล่านั้นแล้วทาย. บทว่า รุทํ คือ เสียง. บาลีว่า รุตํ ก็มี. บทว่า
วสฺสิตํ คือ คำพูด. บทว่า คพฺภกรณียา พวกชนปรุงยาให้ตั้งครรภ์
คือปรุงยาให้ตั้งครรภ์ด้วยการให้ยาเพื่อมิให้แพ้. จริงอยู่ ครรภ์ย่อมแพ้
ด้วยเหตุ 3 ประการ คือด้วยลม 1 ด้วยสัตว์ทั้งหลาย 1 ด้วยกรรม 1.
ในเหตุ 3 ประการนั้นเมื่อแพ้ด้วยลม ก็ให้ยาเย็นเพื่อแก้ลม. เมื่อแพ้ด้วย
สัตว์ก็ทำการต่อต้านสัตว์ทั้งหลาย. แต่เมื่อแพ้ด้วยกรรม แม้พระพุทธเจ้า
ทั้งหลายก็ไม่สามารถป้องกันได้ เพราะฉะนั้น ในที่นี้ จึงไม่ถึงอาการแพ้
ด้วยกรรมนั้น. บทว่า สาลากิยํ คือ รักษาทางตา. บทว่า สลฺลกฺกิตฺติยํ
คือ รักษาทางผ่าตัด. บทว่า กายติกิจฺฉา รักษาทางกา คือประกอบยา
ด้วยรากไม้เป็นต้นแล้วรักษากาย. บทว่า ภูติยํ คือ รักษาทางภูตผี.
บทว่า โกมารกเวชฺชํ รักษาโรคเด็ก.
บทว่า กุหา คือ เป็นผู้หลอกลวง. บทว่า ถทฺธา กระด้าง คือมีร่าง
กายกระด้างเหมือนท่อนไม้. บทว่า ลปา พูดเหลาะแหละ คือพูดเกี่ยวกับ

ปัจจัย. บทว่า สิงฺคี คือ ชอบเครื่องประดับเป็นปกติ. บทว่า อุนฺนฬา
คือ มีมานะยกขึ้นสูงดังไม้อ้อ. บทว่า อสมาหิตา ไม่มีสมาธิ คือเว้น จาก
อุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิ.
พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า น คณฺเหยฺย เป็นต้น ดังต่อไปนี้ ไม่พึง
ถือเอาด้วยการยกขึ้นแสดง. ไม่พึงยึดถือด้วยการท่อง. ไม่พึงทรงไว้ด้วย
การตั้งไว้ในจิต. ไม่พึงเข้าไปทรงไว้ด้วยการตั้งไว้ใกล้. ไม่พึงเข้าไป
กำหนดด้วยการสอบสวน. ไม่พึงประกอบด้วยการบอกแก่คนเหล่าอื่น.
บทว่า เปสุเณยฺยํ คือ การพูดส่อเสียด. การชี้แจงที่เหลือมีความ
ได้กล่าวไว้แล้ว.
บทว่า กยวิกฺกเย ในการซื้อและการขาย คือไม่ควรตั้งอยู่ด้วยการ
หลอกลวงกับ ด้วยสหธรรมิกทั้ง 5 หรือด้วยปรารถนาความเจริญ. บทว่า
อุปวาทํ ภิกฺขุ น กเรยฺย ภิกษุไม่ควรทำความค่อนขอด คือไม่ให้เกิด
กิเลสทำความค่อนขอด ไม่พึงยังความค่อนขอดด้วยสมณะและพราหมณ์
อื่นเกิดขึ้นในตน. บทว่า คาเม จ นาภิสชฺเชยฺย ไม่พึงเกี่ยวข้องใน
บ้าน คือไม่พึงเกี่ยวข้องด้วยความคลุกคลีกับคฤหัสถ์เป็นต้นในบ้าน. บทว่า
ลาภมฺยตา ชนํ น ลเปยฺย คือ ไม่พึงพูดเลียบเคียงกะชน เพราะความ
อยากได้ลาภ.
บทว่า เย กยวิกฺกยา วินเย ปฏิกิขิตฺตา การซื้อและการขาย
เหล่าใด อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสห้ามไว้ในวินัย คือการซื้อและการขาย
เหล่าใด อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสห้ามไว้ใน กยวิกฺกยสิกขาบท ด้วย
การให้และการรับ ว่าไม่ควร.
พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อทรงแสดงการซื้อและการขายที่ประสงค์

ในที่นี้ จึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า ปญฺจนฺนํ สทฺธึ ปตฺตึ วา จีวรํ วา ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปญฺจนินํ สทฺธึ คือ กับด้วยสหธรรมิก 5 จำพวก.
สหธรรมิก 5 จำพวกได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร และ
สามเณรี. บทว่า จญฺจนิยํ วา ความหลอกลวง คือแสดงความหลอกลวง
ว่าสมควร. บทว่า อุทยํ วา ปฏฺฐยนฺโต คือ ปรารถนาความเจริญ.
บทว่า ปริวตฺเตติ คือ ทำการแลกเปลี่ยน.
บทว่า อิทฺธิมนฺโต มีฤทธิ์ คือมีอำนาจให้เกิดความสำเร็จ. บทว่า
ทิพฺพจกฺขุกา คือ มีญาณจักขุเช่นกับทิพย์. อีกอย่างหนึ่ง ได้ญาณจักษุด้วย
ธรรมเป็นเครื่องอยู่อาศัยพร้อมด้วยทิพพวิหารธรรม. บทว่า ปรจิตฺตวิทุโน
รู้จิตผู้อื่น คือรู้จิตของผู้อื่นด้วยจิตของตน. บทว่า เต ทูรโตปิ ปสฺสนฺติ
สมณพราหมณ์พวกนั้น คนเห็นได้แต่ไกลบ้าง คือเห็นแต่จักรวาลโยชน์
หนึ่งบ้าง 100 โยชน์บ้าง 1,000 โยชน์บ้าง 100,000 โยชน์บ้าง
จักรวาลหนึ่งบ้าง 2-3-4-5-10- 20- 40-1,000 จักรวาลบ้าง ยิ่ง
กว่านั้นบ้าง. บทว่า อาสนฺนาปิ น ทิสฺสนฺติ อยู่ใกล้ไม่ปรากฏบ้าง
คือยืนอยู่ใกล้บ้าง นั่งอยู่ใกล้บ้าง ย่อมไม่ปรากฏ. บทว่า เจตสาปิ จิตฺตํ
ปชานนฺติ
คือ รู้จิตผู้อื่นแม้ด้วยจิตของตน. บทว่า เทวตาปิ โข สนฺติ
อิทฺธิมนฺตินิโย
พวกเทวดาผู้มีฤทธิ์ คือเทวดาผู้มีอำนาจให้ความสำเร็จมี
อยู่อย่างนี้. บทว่า ปรจิตตวิทุนิโย คือ รู้จิตของผู้อื่น
บทว่า โอฬาริเกหิ วา กิเลเสหิ ด้วยกิเลสหยาบ คือด้วยความ
เดือดร้อนมีกายทุจริตเป็นต้น. บทว่า มชฺฌิมเกหิ วา กิเลสปานกลาง
มีกามวิตกเป็นต้น. บทว่า สุขุมเกหิ วา กิเลสละเอียดมีวิตกถึงญาติเป็นต้น.

พึงทราบกายทุจริตเป็นต้น ด้วยกรรมบถ. พึงทราบกามวิตกเป็นต้น ด้วย
กิเลสอันมีวัฏฏะเป็นมูล.
พึงทราบวินิจฉัยในวิตกถึงญาติเป็นต้น ดังต่อไปนี้ :- วิตกเกิดขึ้น
เพราะปรารภญาติทั้งหลายด้วยความรัก อาศัยกามคุณ 5 อย่างนี้ว่า ญาติ
ทั้งหลายของเรามีความเป็นอยู่สบายมีสมบัติดังนี้ ชื่อว่าวิตกถึงญาติ. แต่
วิตกเป็นไปอย่างนี้ว่า ญาติทั้งหลายมีศรัทธาเลื่อมใสได้ถึงความสิ้นไป
เสื่อมไปเสียแล้วดังนี้ ไม่ชื่อว่าวิตกถึงญาติ. วิตกเกิดขึ้นด้วยความรัก
อาศัยเรือนของผู้มีใจยินดีว่า ชนบทของเรามีภิกษาหาได้ง่าย มีข้าวกล้า
สมบูรณ์ดังนี้ ชื่อว่าวิตกถึงชนบท. วิตกเป็นไปอย่างนี้ว่า มนุษย์ทั้งหลาย
ในชนบทของเรา ที่มีศรัทธาเลื่อมใสได้ถึงความสิ้นไป ความเสื่อมไป
เสียแล้วดังนี้ ไม่ชื่อว่าวิตกถึงชนบท. วิตกถึงความไม่ตาย หรือว่าความ
วิตกถึงอมรเทพ ชื่อว่าวิตกถึงอมรเทพ. วิตกประกอบแล้วด้วยการทำ
ทุกรกิริยานั้น ของทำทุกข์กิริยาด้วยคิดว่า ตนจะมีความสุขไม่ตายในภพ
หน้า ถึงจะแก่แล้ว ด้วยทุกข์ทั้งหลายมีการทำความเพียรด้วยการนั่งกระหย่ง
เป็นต้น ชื่อว่าวิตกถึงความไม่ตาย. ส่วนเจ้าทิฏฐิถูกเขาถามคำมีอาทิว่า
ท่านจงบอกถึงสัสสตทิฏฐิดังนี้ ย่อมถึงความลำบากใจว่า เราไม่รู้ว่า
อย่างนี้ก็ใช่ เราไม่รู้ว่า อย่างนั้นก็ใช่ อย่างอื่นก็ใช่ เราก็ไม่รู้ว่า ไม่มี
ก็ใช่ เราไม่รู้ว่า ไม่มีหามิได้ก็ใช่ ดังนี้ วิตกของเจ้าทิฏฐินั้น เป็นวิตก
ประกอบด้วยทิฏฐิ. เทพชื่ออมรเพราะไม่ตาย โดยไม่มีสัณฐานแม้ในส่วน
เดียว เหมือนปลาชื่อว่าอมร ใคร ๆ ไม่อาจจบในน้ำเอามาฆ่าได้ ว่ายไป
ข้างโน้น ช้างนี้จนจับไม่ได้ฉะนั้น แม้ทั้งสองนั้น ท่านกล่าวรวมเป็นอันเดียว
กันว่า อมรวิตกฺโก วิตกถึงเทพอมร. บทว่า ปรานุทฺทยตาปฏิสํยุตฺโต

วิตกประกอบด้วยความเป็นผู้เอ็นดูผู้อื่น คือประกอบด้วยความรักอาศัย
เรือนเหมือนกันกับความเป็นผู้เอ็นดูผู้อื่น คือเมื่ออุปัฏฐากยินดีและเศร้าโศก
ภิกษุย่อมยินดีและเศร้าโศกสองเท่ากับด้วยอุปัฏฐากเหล่านั้น เมื่ออุปัฏฐาก
เหล่านั้นมีความสุข ภิกษุก็มีความสุขสองเท่า เมื่ออุปัฏฐากมีความทุกข์
ภิกษุก็มีความทุกข์สองเท่า เมื่อกิจที่จะต้องทำเกิดขึ้น ภิกษุขวนขวายย่อม
ทำกิจนั้นให้สำเร็จ ย่อมล่วงบัญญัติ ยังสัลเลขปฏิบัติให้กำเริบ. วิตกใด
อาศัยเรือนในเพราะอยู่เกี่ยวข้องกัน หรือในเพราะขวนขวายช่วยเหลือกัน
นั้น นี้ชื่อว่าวิตกประกอบด้วยความเป็นผู้เอ็นดูผู้อื่น. บทว่า ลาภสกฺ-
การสิโลกปฏิสํยุตฺโต
วิตกประกอบด้วยลาภสักการะและความสรรเสริญ
คือวิตกประกอบด้วยทำความยินดีกับด้วยลาภมีจีวรเป็นต้น ด้วยสักการะ
และด้วยชื่อเสียง. บทว่า อนวญฺญตฺติปฏิสํยุตฺโต วิตกประกอบด้วยความ
ไม่ถูกดูหมิ่น คือวิตกเกิดกับความปรารถนาความไม่ถูกดูหมิ่นอย่างนี้ว่า
ไฉนหนอ คนอื่นจะไม่พึงดูหมิ่นเรา ไม่พึงพูดทักท้วงข่มเหงเรา. วิตก
เกิดขึ้นอาศัยเรือนคือกามคุณ 5 ในเมื่อจิตเกิดขึ้นว่าคนอื่นอย่าได้ดูหมิ่น
เราเลยดังนี้ ชื่อว่าวิตกประกอบด้วยความไม่ถูกดูหมิ่น.
บทว่า ตตฺถ ตตฺถ สชฺชติ คือ ภิกษุย่อมเกี่ยวข้องในที่นั้น ๆ คือ
ติดอยู่ในอารมณ์นั้น ๆ. บทว่า ตตฺถ ตตฺถ คณฺหาติ ย่อมรับในที่นั้นๆ
คือเข้าไปสู่อารมณ์ดังกล่าวแล้ว. บทว่า พชฺฌติ ผูกพัน คือย่อมผูกพัน
ย่อมเป็นอันเดียวกันกับด้วยอารมณ์นั้น ๆ. บทว่า อนยพฺพยสนํ ความ
ฉิบหาย คือความไม่เจริญและความพินาศในที่นั้น ๆ. บทว่า อาปชฺชติ
แปลว่า ย่อมถึง.
บทว่า อามิสฺสจกฺขุกสฺส ภิกษุผู้เห็นแก่อามิส คือผู้โลเลด้วย

อามิสมีจีวรเป็นต้น. บทว่า โลกธมฺมครุกสฺส หนักอยู่ในโลกธรรม คือ
ละโลกุตรธรรม พูดหนักอยู่แต่โลกธรรมมีรูปเป็นต้นเท่านั้น. บทว่า
อาลปนา การพูดหว่านล้อม คือเห็นมนุษย์ทั้งหลายมาวิหาร แล้วพูด
เลียบเคียงตั้งแต่ต้นอย่างนี้ว่า ผู้เจริญทั้งหลาย พวกท่านมาเพื่ออะไร
หรือจะมานิมนต์ภิกษุ หากว่าเป็นอย่างนั้น เชิญพวกท่านไปเถิด อาตมา
จะมารับภายหลัง.
อีกอย่างหนึ่ง พูดแนะนำคนแล้วพูดเลียบเคียง แนะนำตนอย่างนี้ว่า
อาตมาชื่อติสสะ พระราชาทรงเลื่อมใสในอาตมา มหาอำมาตย์ของพระ-
ราชาชื่อโน้น ๆ ก็เลื่อมใสในอาตมา ดังนี้ ชื่อว่าพูดหว่านล้อม. บทว่า
ลปนา พูดเลียบเคียง คือเมื่อถามแล้วก็พูดเลียบเคียงดังที่ได้กล่าวแล้ว
นั้นแล. บทว่า สลฺลปนา พูดเลียบเคียงด้วยดี. คือหาโอกาสให้ของที่ดี
เลิศแก่คหบดีทั้งหลายแล้วพูดเลียบเคียงด้วยดี. บทว่า อุลฺลปนา การพูด
ยกย่อง คือพูดยกให้สูงอย่างนี้ว่า เป็นมหากุฎุมพี เป็นผู้ให้ทานมาก
เป็นมหาทานบดีดังนี้. บทว่า สมุลฺลปนา พูดยกย่องด้วยดี คือพูดยก
ให้สูงในทุกส่วนด้วยประการทั้งปวง. บทว่า อุนฺนหนา การพูดผูกพัน
คือภิกษุพูดว่า อุบาสกทั้งหลาย เมื่อในกาลเช่นนี้พวกท่านให้ทานใหม่
เพราะเหตุไรเดี๋ยวนี้ไม่ให้เล่า พวกอุบาสกกล่าวคำเป็นต้นว่า พระคุณเจ้า
กระผมจักถวายตลอดเวลา แต่พวกกระผมยังไม่ได้โอกาส. ชื่อว่าพูด
ผูกพันให้สูงไว้ก่อน.
อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุเห็นเขาถืออ้อย ถามว่า อุบาสกเอาอ้อยมาจาก
ไหน. เขาตอบว่า เอามาจากไร่อ้อย ขอรับ. ถามว่า อ้อยที่ไร่นั้นมีรส
อร่อยดีดอกหรือ. เขาตอบว่า พระคุณเจ้าฉันแล้วจะรู้เอง. ควรพูดว่า

อุบาสก พวกท่านอย่าถวายอ้อยแก่ภิกษุเลย. การพูดผูกพันแม้ของภิกษุ
ผู้ไขความอย่างนี้ ก็ชื่อว่าพูดผูกพัน. การพูดผูกพันบ่อย ๆ ทุกส่วนโดย
ประการทั้งปวง ชื่อว่าการพูดผูกพ้นด้วยดี. บทว่า อุกฺกาจนา การพูด
อวดอ้าง คือพูดอวดอย่างนี้ว่า ตระกูลนั้นรู้จักเราดี หากไทยธรรมเกิด
ขึ้นในที่นี้ ก็จะให้เราแน่นอน. อธิบายว่า การอวดอ้าง. การพูดอวด
บ่อย ๆ ทุก ๆ ส่วนโดยประการทั้งปวง ชื่อว่าการพูดอวดอ้างด้วยดี.
บทว่า อนุปฺปิยภาณิณา การพูดฝากรัก คือพูดด้วยคำน่ารัก
บ่อย ๆ ด้วยอำนาจปัจจัย. บทว่า สณฺหวาจตา การพูดอ่อนหวาน คือ
พูดอ่อนโยน. บทว่า สขิลราจตา พูดไพเราะ คือพูดพอดี ๆ หรือพูด
แต่น้อย. บทว่า ลิตฺตวาจตา คือ พูดหนักแน่น. บทว่า อผรุสวาจตา
พูดไม่หยาบ คือพูดไพเราะ. บทว่า โปราณํ มาตาเปตฺติกํ คือ ชื่อ
ครั้งที่เกิดเป็นของมารดาบิดาตั้งให้. บทว่า อาหิตํ คือ ชื่อนั้นปกปิด
เป็นเรื่องภายใน. บทว่า ญายามิ คือ ฉัน ย่อมปรากฏ. บทว่า อสุกสฺส
กุลุปโก
เป็นกุลูปกะ (ผู้เข้าสู่ตระกูล) ของอุบาสกโน้น คือเป็นผู้เข้าถึง
ตระกูลของอำมาตย์โน้น. บทว่า อสุกาย คือ อุบาสิกาโน้น. บทว่า
มํ อุสฺสชิชิตฺวา คือ ลืมฉันเสียแล้ว.
บทว่า ปยุตฺตํ คือ มุ่งแต่จะได้ด้วยจีวรเป็นต้น. หรือมุ่งประโยชน์
นั้น. การขยายความคาถานี้ทั้งหมดมีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.
บทว่า โมสฺชเชน นิยฺเยถ คือ ภิกษุพึงเว้นจากการพูดเท็จ
บทว่า ชีวิเตน คือ ด้วยความเป็นอยู่. บทว่า สโฐ เป็นผู้โอ้อวด คือไม่พูด
ชอบ เพราะแสดงคุณที่ไม่มี. เป็นผู้โอ้อวดทุก ๆ ส่วนโดยประการทั้งปวง
ชื่อว่าเป็นผู้อวดอ้าง. บทว่า ยํ ตตฺถ คือ ที่มีในบุคคลนั้น. บทว่า สฐํ

ความโอ้อวด คือหลอกลวงแสดงคุณที่ไม่มี. บทว่า สฐตา กิริยาที่
โอ้อวด คืออาการโอ้อวด. ทว่า สาเฐยฺยํ คือ ความเป็นผู้โอ้อวด.
บทว่า กกฺกรตา ความเป็นผู้พูดกระด้าง คือความเป็นผู้หยาบคาย ไม่
กล้าจับต้องดุจความระคายของก้านบัวฉะนั้น. แม้บทว่า กกฺกริยํ ก็เป็น
ไวพจน์ของบทว่า กกฺกรตา นั้นนั่นเอง. ท่านกล่าวความหลอกลวง
อย่างหนักแน่นดุจฝังไว้ด้วยสองบทว่า ปริกฺขตฺตตา ปริกฺขตฺติยํ ความ
เป็นผู้เห่อเหิม กิริยาที่เห่อเหิม. แต่อาจารย์บางพวกพรรณนาความนี้ว่า
บทว่า กกฺกรตา คือ พูดยกย่อง. บทว่า กกฺกริยํ กิริยาที่พูดยกย่อง.
บทว่า ปริกฺขตฺตตา คือ อาการตกแต่ง. บทว่า ปริกฺขติติยํ คือ กิริยาที่
ตกแต่ง. บทว่า อิทํ วุจฺจติ คือ นี้ท่านเรียกว่าเป็นผู้โอ้อวด มีลักษณะ
ประกาศคุณที่ไม่มีอยู่แก่ตน. ต้องหรือหลังของบุคคลผู้ประกอบด้วยความ
โออวดนั้น ใคร ๆ ก็ไม่สามารถจะรู้ได้. เช่นเดียวกับยักขสุกรกล่าวไว้
อย่างนี้ว่า
สุกร เป็นอยู่โดยเบื้องซ้าย แพะและเนื้อเป็นอยู่
โดยเบื้องขวา แกะเป็นอยู่ด้วยเสียง โคแก่เป็นอยู่
ด้วยเขา.

บทว่า อติมญฺญติ ย่อมดูหมิ่น คือล่วงเกิน. บทว่า กึ ปนายํ
พหุลาชีโว
คือ ภิกษุนี้ทำไมจึงมีความเป็นอยู่อย่างฟุ่มเฟือย. บทว่า สพฺพํ
สมฺภกฺเขติ
ย่อมฉันพืชทั้งปวง คือฉันพืชที่ได้แล้ว ๆ. บทว่า อปฺปปุญฺโญ
คือ มีบุญน้อย. บทว่า อปฺเปสกฺโข มีศักดิ์น้อย คือไม่มีบริวาร. บทว่า
ปญฺญาสมฺปนฺโน ถึงพร้อมด้วยปัญญา คือมีปัญญาสมบูรณ์บริบูรณ์
บทว่า ปญฺหํ วิสชฺเชติ คือ กล่าวแก้ปัญหาได้.

บทว่า สุตฺวา ทฺสิโต พหุํ วาจํ สมณานํ วา ปุถุชนานํ ภิกษุ
ถูกประทุษร้ายได้ฟังวาจามากของพวกสมณะ หรือของคนผู้มีถ้อยคำมาก
คือถูกประทุษร้าย เสียดสี ได้ฟังวาจาที่ไม่น่าปรารถนาแม้มากของสมณะ
เหล่านั้น หรือของปุถุชนเหล่าอื่นมีกษัตริย์เป็นต้น . บทว่า น ปฏิวชฺช คือ
ไม่พึงโต้ตอบ. เพราะอะไร. เพราะภิกษุผู้สงบย่อมไม่ทำผู้อื่นให้เป็นศัตรู.
บทว่า กกฺขเลน คือ ด้วยคำหยาบ. บทว่า สนฺโต ผู้สงบ คือดับ
กิเลสได้แล้ว. บทว่า ปฏิเสนึ คือ ศัตรู. บทว่า ปฏิมลฺลํ คือ ข้าศึก.
บทว่า ปฏิกณฺฏํ คือ เป็นเวร. บทว่า ปฏิปกฺขํ เป็นปฏิปักษ์ คือเป็น
ปฏิปักษ์ด้วยกิเลส. อธิบายว่า ไม่ทำความเกี่ยวข้องด้วยอำนาจกิเลส.
บทว่า เอตญฺจ ธมฺมมญฺญาย รู้ธรรมนั้นแล้ว คือรู้ธรรมตาม
ที่กล่าวแล้วนั้นทั้งหมด. บทว่า วิจินํ คือ ค้นคว้าอยู่. บทว่า สนฺตึติ
นิพฺพุตึ ญตฺวา
คือ รู้ความดับราคะเป็นต้นว่า เป็นความสงบ.
บทว่า สมญฺจ ธรรมอันเสมอ คือกายสุจริตเป็นต้น . บทว่า วิสมญฺจ
ธรรมอันไม่เสมอมีกายทุจริตเป็นต้น. บทว่า ปถญฺจ ธรรมเป็นทาง คือ
กุศลกรรมบถ 10. บทว่า วิปถญฺจ ธรรมไม่เป็นทาง คืออกุศล-
กรรมบถ 10. บทว่า สาวชฺชญฺจ ธรรมมีโทษ คืออกุศล. บทว่า
อนวชฺชญฺจ ธรรมไม่มีโทษ คือกุศล. แม้บทว่า หีนปฺปณีตกณฺหสุกฺก-
วิญฺญูครหิตปฺปสตฺถํ
ธรรมเลว ธรรมประณีต ธรรมดำ ธรรมขาว
ธรรมที่วิญญูชนติเตียน ธรรมที่วิญญูชนสรรเสริญแม้นี้ ก็เป็นกุศลและ
อกุศลนั่นเอง. ในธรรมเป็นกุศลและอกุศลเหล่านั้น กายสุจริตเป็นต้นเป็น
ธรรมอันเสมอ เพราะทำให้เสมอ. กายทุจริตเป็นต้นเป็นธรรมอันไม่เสมอ
เพราะทำให้ไม่เสมอ. กุศลกรรมบถเป็นทาง เพราะเป็นทางไปสุคติ.

อกุศลกรรมบถไม่เป็นทาง เพราะเป็นปฏิปักษ์ต่อการไปสุคติ เพราะเป็น
ทางไปอบาย. อกุศลชื่อว่า เป็นธรรมมีโทษ เพราะเป็นไปกับด้วยโทษ.
กุศลชื่อว่า เป็นธรรมไม่มีโทษ เพราะมีโทษออกไปแล้ว. อนึ่ง พึงทราบว่า
ชื่อว่า เป็นธรรมเลว เพราะประกอบด้วยโมหะบ้าง โมหะและโทสะบ้าง
โมหะและโลภะบ้าง. ชื่อว่า เป็นธรรมประณีต เพราะประกอบด้วยอโลภะ
อโทสะ และอโมหะ. ชื่อว่า เป็นธรรมดำ เพราะมีวิบากดำ. ชื่อว่า
เป็นธรรมขาว เพราะมีวิบากขาว. ชื่อว่า เป็นธรรมอันวิญญูชนติเตียน
เพราะวิญญูชนมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นทรงติเตียน. ชื่อว่า เป็นธรรมอัน
วิญญูชนสรรเสริญ เพราะอันวิญญูชนเหล่านั้นนั่นแล สรรเสริญ.
หากถามว่า เพราะเหตุไร ภิกษุไม่พึงประมาท. พึงทราบคาถาว่า
อภิภู หิ โส เพราะภิกษุนั้นเป็นผู้ครอบงำ ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อภิภู คือ เป็นผู้ครอบงำรูปเป็นต้น. บทว่า
อนภิภูโต ไม่ถูกครองงำ คือไม่ถูกรูปเป็นต้น เหล่านั้นครอบงำ. บทว่า
สกฺขิธมฺมํ อนีติหมทสฺสี ได้เห็นแล้วซึ่งสักขิธรรมโดยไม่ต้องเชื่อต่อผู้อื่น
คือได้เห็นธรรมแจ่มแจ้งแล้วโดยไม่ต้องเชื่อต่อผู้อื่น. บทว่า สทา นมสฺส-
มนุสิกฺเข
นมัสการอยู่ พึงหมั่นศึกษาในกาลทุกเมื่อ คือนมัสการอยู่
พึงศึกษาสิกขา 3.
บทว่า เกหิจิ กิเลเสหิ คือ ด้วยกิเลสอันทำให้เร่าร้อนมีราคะเป็นต้น
อย่างใดอย่างหนึ่ง. บทว่า อธิโภสิ เน คือ ครอบงำกิเลสเหล่านั้นได้แล้ว.
บทที่เหลือในที่ทั้งปวงชัดดีแล้ว.
แต่ในที่นี้พึงทราบการสำรวมอินทรีย์ ด้วยบทมีอาทิว่า ไม่เป็นผู้
โลเลด้วยจักษุอย่างเดียวเท่านั้น. พึงทราบปัจจยปฏิเสวนศีล (ศีลคือการ

เสพปัจจัย) มีการห้ามการสะสมเป็นหลัก ด้วยบทมีอาทิว่า แห่งข้าวหรือ
แห่งน้ำทั้งหลาย. พึงทราบปาติโมกขสังวรศีล (ศีลคือการสำรวมในปาติ-
โมกข์) ด้วยบทมีอาทิว่า เว้นการพูดเท็จ. พึงทราบอาชีวปาริสุทธศีล
(ศีลคืออาชีวะบริสุทธิ์) ด้วยบทมีอาทิว่า ทำอาถรรพณ์ ทำนายฝัน ทำนาย
ลักษณะ พึงทราบสมาธิด้วยบทนี้ว่า พึงเป็นผู้เพ่ง. พึงทราบไตรสิกขา
โดยสังเขปด้วยบทมีอาทิว่า พึงเป็นผู้มีสติศึกษาทุกเมื่อ พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสการสงเคราะห์และการบรรเทา อันเป็นอุปจาระแห่งศีล สมาธิ
ปัญญา ด้วยบทมีอาทิว่า ภิกษุพึงอยู่ในที่นั่งที่นอนอันมีเสียงน้อย ไม่พึง
เห็นแก่นอนมากนัก. พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสปฏิปทาบริบูรณ์แก่พระ-
พุทธนิมิตอย่างนี้แล้ว ทรงจบเทศนาด้วยธรรมเป็นยอด คือพระอรหัต.
เมื่อจบเทศนา ได้มีผู้บรรลุธรรมเช่นเดียวกันกับที่กล่าวไว้แล้วใน
ปุราเภทสูตรนั้นแล.
จบอรรถกถาตุวฏกสุตตนิทเทสที่ 14

อัตตทัณฑสุตตนิทเทสที่ 15


[789] (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า) ภัยเกิดแต่อาชญาของ
ตน ท่านทั้งหลายจงดูคนที่ทุ่มเถียงกัน เราจักแสดง
ความสังเวชตามที่เราได้สังเวชมาแล้ว.


ว่าด้วยภัย 2 เกิดจากอาชญา 3 อย่าง


[790] ชื่อว่า อาชญา ในคำว่า ภัยเกิดแต่อาชญาของตน ได้แก่
อาชญา 3 อย่าง คือ อาชญาทางกาย 1 อาชญาทางวาจา 1 อาชญาทางใจ 1
กายทุจริต 3 ชื่อว่าอาชญาทางกาย วจีทุจริต 4 ชื่อว่าอาชญาทางวาจา
มโนทุจริต 3 ชื่อว่าอาชญาทางใจ. ชื่อว่าภัย คือ ภัย 2 อย่าง ได้แก่
ภัยมีในชาตินี้ 1 ภัยมีในชาติหน้า 1.
ภัยมีในชาตินี้เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ประพฤติทุจริต
ด้วยกาย ประพฤติทุจริตด้วยวาจา ประพฤติทุจริตด้วยใจ ฆ่าสัตว์บ้าง
ลักทรัพย์บ้าง ตัดที่ต่อบ้าง ปล้นทุกหลังคาเรือนบ้าง ปล้นเฉพาะเรือน
หลังเดียวบ้าง ดักแย่งชิงอยู่ที่หนทางเปลี่ยวบ้าง คบชู้ภรรยาแห่งชาย
อื่นบ้าง พูดเท็จบ้าง พวกราชบุรุษจับคนผู้นั้นได้แล้ว ทูลแด่พระราชาว่า
ขอเดชะ บุรุษผู้นี้เป็นโจร ประพฤติชั่ว พระองค์จงลงอาชญาที่ทรง
พระประสงค์แก่บุรุษนี้เถิด พระราชากทรงตวาดบริภาษคนผู้นั้น คนนั้น
ของเสวยทุกข์โทมนัสแม้เพราะเหตุที่ถูกบริภาษ ทุกข์โทมนัสนั้นเป็นภัย
ของคนนั้นเกิดแต่อะไร ภัยนั้นเกิด เกิดพร้อม บังเกิด บังเกิดเฉพาะ
ปรากฏแต่อาชญาของตน. พระราชายังไม่พอพระทัย แม้ด้วยการบริภาษ
เท่านี้ ย่อมรับสั่งให้จองจำคนนั้นด้วยเครื่องจองจำคือขื่อคาบ้าง ด้วยเครื่อง